เบาหวานเป็นโรคเกี่ยวกับเมแทบอลิซึมที่มีระดับน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดสูงเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นจากความผิดปกติของการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินหรือความผิดปกติในการออกฤทธิ์ของอินซูลินหรือทั้งสองประการ

 

เรามาศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับเบาหวานกันดีกว่า

        เบาหวานมีอาการเป็นอย่างไร

        ทำไมคนอ้วนจึงเป็นเบาหวาน

        ถ้าควบคุมไม่ได้จะมีแนวทางรักษาอย่างไร

        วิธีการตรวจเบาหวาน

        ทำไมเป็นเบาหวานแล้วน้ำหนักลด






เบาหวานมีอยู่ 2 ประเภท ได้แก่

เบาหวานชนิดที่ 1 คือ เบาหวานชนิดที่ต้องรักษาด้วยอินซูลิน(insulin dependent diabetes mellitus)

เบาหวานชนิดที่ 2 คือ เบาหวานชนิดที่ไม่ต้องรักษาด้วยอินซูลิน (non - insulin dependent diabetes mellitus)

 

เบาหวานชนิดที่ 1 เบาหวานชนิดที่ต้องรักษาด้วยอินซูลิน ( insulin dependent diabetes mellitus)

        เบาหวานชนิดพึ่งอินซูลินหรือรักษาด้วยการต้องให้ฮอร์โมนอินซูลิน เกิดจากการที่เบตาเซลล์ถูกไวรัส หรือถูกภูมิคุ้มกันของตนเอง (autoimmune disease) ทำลาย ทำให้สร้างอินซูลินไม่ได้ และส่วนหนึ่งเกิดจากกรรมพันธุ์ มักพบว่าเป็นเบาหวานตั้งแต่เด็ก (juvenile onset)

       การรักษา => โดยการต้องฉีดฮอร์โมนอินซูลินให้ทดแทน ปัจจุบันยังไม่มีฮอร์โมนอินซูลินชนิดรับประทาน เพราะอินซูลินเป็นโปรตีนที่มีโมเลกุลใหญ่ เมื่อเข้าไปในกระเพาะอาหารจะถูกทำลายด้วยกรดเกลือ (HCL) ที่อยู่ในกระเพาะให้แตกตัวไปก่อน

Insulin Pen
อินซูลินและอุปกรณ์การฉีด
ปากกาฉีดอินซูลิน

 

เด็กที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 กำลังฉีดอินซูลินด้วยตนเอง

 

 

เบาหวานชนิดที่ 2 เบาหวานชนิดที่ไม่ต้องรักษาด้วยอินซูลิน(non - insulin dependent diabetes mellitus)

       เบาหวานชนิดที่รักษาไม่ได้ด้วยอินซูลิน มักค่อยๆ เกิด พบในผู้ที่มีอายุมากขึ้นแล้ว คนอ้วน ผู้ที่มีเนื้องอกของไอเลตส์ออฟแลงเกอร์ฮานส์ ปัจจัยเสี่ยงได้แก่ กรรมพันธุ์ โดยพบว่าหากฝาแฝดคนหนึ่งเป็นเบาหวาน อีกคนจะเป็นเบาหวานตามมาก่อนอายุ 50 ปี ขณะนี้มีหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าคนที่เป็นเบาหวานประเภทที่ 2 มีอาการเบาหวานก่อนจึงอ้วนเนื่องจากทำลายไขมันไม่ได้ดี ไม่ใช่เป็นเพราะว่าอ้วนก่อนจึงเป็นเบาหวาน นอกจากนี้การมีภาวะเครียดเกิดขึ้นเช่นการติดเชื้อ การตั้งครรภ์ จะทำให้มีการรุนแรงขึ้น แต่โดยทั่วไปเบาหวานประเภทนี้ความรุนแรงจะน้อยกว่าชนิดที่ 1

       สาเหตุของการเกิดยังไม่ทราบแน่นอน อาจเกิดจากการอินซูลินออกฤทธิ์ที่อวัยวะเป้าหมายไม่ได้หรือมีการหลั่งอินซูลินลดน้อยลง เช่นในกรณีที่มีแอนติบอดีมาแย่งจับกับอินซูลิน ทำให้มีอินซูลินไม่พอมาจับกับตัวรับสัญญาณ หรือมีแอนติบอดีมาแย่งจับกับตัวรับสัญญาณทำให้ตัวรับสัญญาณมีไม่พอ แต่ไม่พบหลักฐานว่าเกิดจากการติดเชื้อหรือเกิดจากการต่อต้านภูมิคุ้มกันของตนเอง

การรับประทานอาหารที่มีแป้ง น้ำตาลและไขมันมากและความอ้วนจะทำให้อาการเบาหวานรุนแรงขึ้น

 

UP

 

        ชีวิตประจำวันที่ขาดการออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตมาก ไขมันมากเกินไป ทำให้อ้วน การที่คนอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงหนึ่งของการเป็นเบาหวานเกิดขึ้นจากการที่คาร์โบไฮเดรตและไขมันแตกตัวเป็นกรดไขมันและ กลีเซอรอลจากไทรกลีเซอรายด์ถูกเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาล ทำให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้ร่างกายปรับตัวในขั้นแรกด้วยการลดจำนวนตัวรับสัญญาณลง เพื่อไม่ให้เซลล์ถูกกระตุ้นมากเกินไป ซึ่งต่อมาทำให้จำนวนตัวรับสัญญาณมีไม่พอ และ ดื้อต่ออินซูลิน (insulin resistance) เมื่อเป็นแล้วจะทำให้เนื้อเยื่อตอนปลายตอบสนองต่ออินซูลินได้น้อยลง เบตาเซลล์ไม่ทำงาน ( beta cell dysfunction) ไขมันในเลือดสูง ทำให้เกิดโรคที่เรียกว่าโรคเกี่ยวกับการเผาผลาญอาหาร(metabolic syndrome)

 

 

 

UP

 

การรักษา

  • การควบคุมโดยการใช้ยา

เป็นยาที่ทำให้เบตาเซลล์ทำงานได้ดีขึ้น เช่นซัลโฟนิว ยูเรีย (sulphonyl urea) ตัวรับอินซูลิน (insulin receptor) ทำงานได้มากขึ้น หรือการให้ยาลดน้ำตาลในเลือด

 

  • ควบคุมอาหาร

เนื้อสัตว์ ผัก ธัญพืช ผลไม้ที่ไม่มีรสชาติหวานมาก เป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

        ระดับน้ำตาลที่สูงจะทำให้ตัวรับสัญญาณของอินซูลินลดจำนวนลงเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายถูกกระตุ้นมากเกินไป ทำให้นำน้ำตาลเข้ากระแสเลือดได้น้อย การลดระดับน้ำตาลในเลือดจะทำให้ตัวรับสัญญาณกลับมาเพิ่มมากขึ้น โดยต้องงดอาหารที่มีระดับคาร์โบไฮเดรต ไขมันสูงเพื่อไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีกากใยเพิ่มมากขึ้น เพราะอาหารประเภทนี้ไม่ย่อยและดูดซึมน้อยเหลือเป็นกากทำให้ลดการดูดซึมไขมันและแป้งด้วย

 

  • การออกกำลังกาย

       การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะทำให้ตัวขนส่งกลูโคส GLUT4 ขนส่งกลูโคสเข้าเซลล์ได้ดีขึ้น  และทำให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้นาน และตอบสนองต่อระดับน้ำตาลในกระแสเลือดได้ดีขึ้น  ดังนั้นถ้าได้รับการฉีดอินซูลิน  ต้องระวังถ้าออกกำลังกายเป็นระยะเวลานาน

การออกกำลังกายจะทำให้มีการเผาผลาญกลูโคสได้ดีขึ้น

 

  • การให้อินซูลินทดแทน

       ในปัจจุบันแม้ว่าเป็นเบาหวานชนิดไม่ต้องพึ่งฮอร์โมนอินซูลินก็มีการให้ฮอร์โมนอินซูลินในการรักษาเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น

นอกจากอินซูลินและการดูแลเรื่องอาหาร มีวิธีอื่นในการรักษาเบาหวานหรือไม่?

 

       ในปัจจุบันการค้นหาวิธีการรักษาเบาหวานเป็นที่สนใจของนักวิจัยเป็นอย่างมาก ได้แก่ วิธีพันธุวิศวกรรม การใช้เซลล์ต้นกำเนิด การใช้ยาพ่นทางจมูก การใช้อินซูลินสังเคราะห์

           - พันธุวิศวกรรม

           - การใช้เซลล์ตัวอ่อน

           - การพ่นทางจมูก

           - อินซูลินสังเคราะห์

 

 

UP

 

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเบาหวาน

       การคัดกรองเบาหวานสามารถทำได้หลายวิธี ได้แก่

             - การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

             - อาการและอาการแสดง

 

1. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

       1.1 วิธีการตรวจเบาหวานอย่างง่าย

        ในปัจจุบันมีเครื่องมือที่ผู้ที่เป็นเบาหวานสามารถตรวจได้ด้วยตนเอง

 

       1.2 การตรวจโดยใช้หยดเลือดปลายนิ้ว

เครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด
เจาะเลือดที่ปลายนิ้วด้วยตนเอง นำแผ่นตรวจไปซับเลือด

เครื่องตรวจอ่านค่าระดับน้ำตาลในเลือด

 

        วิธีการ

            1. นำแผ่นตรวจออกมา 1 แผ่น

            2. เจาะเลือดปลายนิ้วด้วยเข็มหรือปากกาเจาะเลือด นำเลือดมาใส่ที่แผ่นตรวจหรือให้แผ่นตรวจซับเลือดที่ปลายนิ้ว

            3. นำแผ่นตรวจมาใส่ในเครื่องอ่านผลน้ำตาลในเลือด (ค่าปกติต้องไม่เกิน 110 มิลลิกรัม/ เดซิลิตร)

 

         1.3 การตรวจโดยใช้ปัสสาวะ

           ตรวจได้ 2 อย่าง คือ ตรวจหาน้ำตาลที่ไตไม่สามารถกรองได้หมดและตรวจหาค่าคีโตนที่เหลือจากการใช้

 

ปัสสาวะ
แผ่นตรวจน้ำตาลและขวดใส่มีสีเทียบ

แผ่นตรวจคีโคนและขวดใส่มีสีเทียบ

         วิธีการ => ปัสสาวะใส่กระป๋องที่สะอาด ใช้แผ่นตรวจจุ่มในปัสสาวะแล้วนำมาเทียบสีกับค่าข้างขวด ซึ่งจะบอกว่ามีระดับน้ำตาลหรือคีโตนมากน้อยเท่าไร

          

             การวินิจฉัยว่ามีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติหรือเป็นเบาหวานหรือไม่ เรียกว่า การทดสอบความทนต่อกลูโคส (glucose tolerance test)

 

         วิธีการ => ผู้ต้องการตรวจต้องงดรับประทานอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง

                      เจาะเลือดดูระดับน้ำตาลหลังงดอาหารมาแล้วอย่างน้อย 8 ชั่วโมง

                      ให้ดื่มน้ำตาล 75 กรัมให้หมดภายใน 5 นาที

                      เจาะเลือดดูระดับน้ำตาลในเลือดภายหลังดื่มน้ำตาล 30 นาที 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมง และ 3 ชั่วโมงตามลำดับ

 

         ค่าปกติ

                 ระดับน้ำตาลหลังงดอาหาร (fasting blood) 60-110 มิลลิกรัม/เดซิลิตร

                 ระดับน้ำตาลหลังดื่ม 1 ชั่วโมงไม่เกิน 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร

                 ระดับน้ำตาลหลังดื่ม 2 ชั่วโมงไม่เกิน 140 มิลลิกรัม/เดซิลิตร

 

ถ้าผลของน้ำตาลในเลือดปกติแสดงว่าผู้ป่วยควบคุมเบาหวานได้ดี จริงหรือไม่?

      แพทย์สามารถติดตามได้ว่าผู้ป่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีหรือไม่จากการตรวจปริมาณฮีโมโกลบินที่มีน้ำตาลเกาะ (glucosylated hemoglobin) โดยวัดจากโมเลกุลของกลูโคสที่จับกับฮีโมโกลบินเอ ซึ่งจะทำให้โครงสร้างเปลี่ยนไปเรียกว่า ฮีโมโกลบินเอ วัน ซี(hemoglobin A 1C: HbA 1C) ปริมาณของ HbA 1 จะมากหรือน้อยขึ้นกับปริมาณน้ำตาลในเลือด การรวมตัวของฮีโมโกลบินและกลูโคสจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตของเม็ดเลือดแดง คือ 120 วัน ทำให้ทราบว่าในช่วง 120 วันที่ผ่านมาปริมาณกลูโคสเป็นเท่าไร

ปริมาณน้ำตาลปกติที่เกาะอยู่กับเม็ดเลือดแดง
(ฮีโมโกลบินเอ วัน ซี)
ปริมาณน้ำตาลที่มากเกาะอยู่กับเม็ดเลือดแดง (ฮีโมโกลบินเอ วัน ซี)

 

อาการผู้ป่วยเบาหวาน

        โรคนี้จะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงซึ่งถ้าสูงเกินระดับที่ไตสามารถกรองได้คือสูงเกิน 180 มิลลิกรัมต่อ 100 มิลลิลิตร จะทำให้มีการตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะ (glycosuria) (ค่าปกติ 80 มิลลิกรัมต่อ 100 มิลลิลิตร ถึง 110 มิลลิกรัมต่อ 100 มิลลิลิตร )

อาการของผู้ป่วยเบาหวาน

 

       ทำให้น้ำและอิเล็กโทรไลต์ต่างๆ เช่น โซเดียมและคลอไรด์ออกไปกับปัสสาวะมากขึ้น เนื่องจากการดูดกลับของโซเดียมลดน้อยลงทำให้ปริมาณน้ำในร่างกายลดลงด้วย ทำให้รู้สึกกระหายน้ำ ดื่มน้ำมาก (polyphagia) ขึ้นด้วย

 

UP

 

      เนื่องจากน้ำตาลเข้าเซลล์ไม่ได้ ร่างกายต้องสร้างกลูโคสจากการเผาผลาญไขมันและโปรตีนมาใช้เป็นพลังงานแทน จึงทำให้น้ำหนักตัวลดอย่างรวดเร็ว อ่อนเพลีย เซื่องซึม เมื่อยล้า

อาการของผู้ป่วยเบาหวาน

 

        การทำลายของโปรตีนจะยับยั้งการเจริญเติบโต การสมานแผล ผิวหนังพุพอง เป็นตุ่มฝีและติดเชื้อ (infection) ได้ง่าย การที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นระยะเวลานานๆ จะทำให้ผนังของเส้นเลือดหนา ขาดความยืดหยุ่นและเปราะง่าย การแลกเปลี่ยนอาหารและแก๊สเสียไปทำให้เนื้อเยื่อส่วนปลายได้รับอาหารและออกซิเจนไม่เพียงพอทำให้เป็นแผลบ่อยๆและหายยาก ทำให้เนื้อเยื่อเน่า (gangrene) นอกจากนี้ยังมีผลต่อเรตินาที่ตา ทำให้นัยน์ตาฟาง มองภาพไม่ชัด จอประสาทตาเสื่อม (diabetes retinopathy) เส้นเลือดฝอยที่ตาแตกทำให้ตาบอด เป็นต้อหิน (glaucoma) ต้อกระจก (cataract) และมีผลต่อหลอดเลือดที่ไตทำให้สูญเสียอัลบูมิล (albumin) ไปกับปัสสาวะ เกิดโรคไต (diabetes nephropathy) ความดันโลหิตสูงได้

อาการแทรกซ้อนจากการเป็นเบาหวาน

 

ทำไมเป็นเบาหวานร่างกายจึงใช้โปรตีนแทนน้ำตาลกลูโคส ทั้งๆ ที่มีน้ำตาลกลูโคสอยู่ในกระแสเลือดจำนวนมาก ?

 

        ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงที่สุดของเบาหวาน คือ เมื่อร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลเป็นพลังงานได้ จะเผาผลาญไขมันที่ตับเพื่อใช้เป็นพลังงานแทน ซึ่งจะได้แอซิติล โคเอ (acetyl CoA) มากเกินกว่าที่วัฏจักรเครบส์หรือเซลล์อื่นๆ จะนำไปเผาผลาญได้หมด บางส่วนของแอซิติล โคเอ จึงเปลี่ยนเป็นคีโทนบอดี (ketone body) ซึ่งเป็นกรด ทำให้ pH ของร่างกายต่ำลง และทำให้มีคีโทนในกระแสเลือดสูงกว่าปกติ (ketonemia) และเหลือออกมาในปัสสาวะ (ketonuria) มากขึ้น ร่างกายไม่สามารถขับออกได้ทัน เรียกภาวะนี้ว่าคีโทแอซิโดซิส (ketoacidosis ) นอกจากไขมัน ร่างกายยังเปลี่ยนโปรตีนมาเป็นกลูโคสทดแทนได้ด้วย ซึ่งจะทำให้ได้กรดอะมิโนเข้าวัฏจักรเครบส์ให้พลังงานออกมาเช่นกัน ทำให้มีการสร้างโปรตีนลดน้อยลงแต่มีการทำลายเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีการขับไนโตเจนออกทางในปัสสาวะ และเสียน้ำไปทางปัสสาวะเพิ่มมากขึ้น

การเกิดคีโทนในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานขั้นโคม่า

        จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ร่างกายขาดน้ำ ถ้าไม่ได้รับการแก้ไข จะทำให้ความดันโลหิตลดลง เลือดไปเลี้ยงสมอง ไตน้อยลง จนทำให้อาการรุนแรง (coma) ถึงแก่ชีวิตได้

UP