เกิดจากปัจจัย 2 ประการคือ

1.ความแตกต่างของพื้นที่ระหว่างเยื่อแก้วหู (eardrum) กับขายึดกระดูกโกลน (stapedial
footplate) ซึ่งติดอยู่กับหน้าต่างรูปไข่ (oval window) ของหูชั้นในที่มีความแตกต่างกันถึง
14 เท่า ดังนั้นพลังงานเสียงจากแก้วหูจึงถูกอัดรวมไปยังขายึดของกระดูกโกลน (stapedial footplate)

2.ระบบคานดีดคานงัดของกระดูกหู (physical laws of leverage) (Daniloff,R.,
Schucker,G.& Fetech,L.1980 อ้างใน ศิริพันธ์ ศรีวันยงค์.2544:10 ) เนื่องจากกระดูก
หู 3 ชิ้นในหูชั้นกลาง มีการวางเรียงตัวกันในทางที่จะได้รับประโยชน์จากระบบคานดีดคานงัด
ทำให้พลังงานเสียงที่ส่งไปยังขายึดกระดูกโกลน (stapedial footplate)มากกว่าพลังเสียง
ที่ส่งมาถึงกระดูกฆ้อน(malleus)โดยมีอัตราส่วนต่างกันถึง 1.3:1จากปัจจัยดังกล่าวทำให้เกิด
การขยายเสียงในหูชั้นกลางประมาณ 22 เดซิเบล (dB)

                 

 

          ภาพจำลองระบบคานดีดคานงัดที่เกี่ยวข้องในการทำหน้าที่ขยายเสียงของหูชั้นกลาง

 

 

  จากโครงสร้างของหูชั้นกลางที่มีกล้ามเนื้อ 2 มัดคือ กล้ามเนื้อเทนเซอร์ทิมพานี่ (tensor
tympani muscle) และ กล้ามเนื้อสเตปีเดียส (stapedius muscle) ซึ่งจะกระตุก เมื่อมี
เสียงดังเข้ามาในหู เกิดเป็นรีเฟล็กซ์ (reflex) ป้องกันไม่ให้เสียงดังเข้าไปทำลายหูชั้นใน
โดยกล้ามเนื้อเทนเซอร์ทิมพาไน (tensor tympani muscle) ซึ่งเกาะที่กระดูกฆ้อน
malleus) จะทำให้แก้วหูตึงขึ้น (stiffen) เมื่อมีเสียงดังเพื่อสะท้อนเสียงบางส่วนออกไป
ส่วนกล้ามเนื้อสเตปีเดียส (stapedius muscle) ซึ่งเกาะที่กระดูกโกลน (stapes ) จะยึด
ตรึงกระดูกโกลนซึ่งมีขายึด (footplate) อยู่ตรงหน้าต่างรูปไข่ (oval window) ทำให้ช่วย
ลดความดังที่จะเข้าสู่หูชั้นใน

 

   การทำงานของกล้ามเนื้อทั้ง 2 มัดนี้ ช่วยป้องกันความดังในเสียงที่มีความถี่ี่ต่ำกว่า
1000 เฮิรตซ์