|
||||
กรดนิวคลีอิก
หรือพอลินิวคลีโอไทด์ (polynucleotide) ได้แก่ ดีเอ็นเอ (deoxyribonucleic acid: DNA) และ อาร์เอ็นเอ (ribonucleic acid: RNA) ทำหน้าที่ถ่ายทอด ลักษณะทางพันธุกรรม และควบคุมการทำงานของเซลล์โดยผ่านกระบวนการสังเคราะห์โปรตีน (protein synthesis) หน่วยย่อยของพอลินิวคลีโอไทด์คือ นิวคลีโอไทด์ (nucleotide) แต่ละ นิวคลีโอไทด์์ประกอบด้วย น้ำตาลชนิดคาร์บอน 5 อะตอม (pentose) ฟอสเฟต (phosphate) และน้ำตาลที่มีไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบ (nitrogenous base) ดีเอ็นเอประกอบด้วยน้ำตาล ดีออกซีไรโบส (deoxyribose) ยึดจับกับหมู่ฟอสเฟต (PO4) และเบสชนิดใดชนิดหนึ่งใน 4 ชนิด คือ อะดีินีน (adenine : A) กวานีน (guanine: G) ซึ่งเป็นเบสชนิด พิวรีน (purine) ไซโทซีน (cytosine: C ) และ ไทมีน (thymine: T) ที่เป็นเบสชนิดไพริมิดีน (pyrimidine) เมื่อเบสชนิดพิวรีนจับกับไพริมิดีน (อะดีนีน จับกับ ไทมีน และ กวานีน จับกับไซโทซีน) ที่อยู่ ต่างสายพอลินิวคลีโอไทด์ด้วยพันธะไฮโดรเจนทำให้เกิดลักษณะโครงสร้างของพอลินิวคลี โอไทด์ 2 สายที่บิดเป็นเกลียว (double helix) เวียนขวา ซึ่งเป็นโครงสร้างของดีเอ็นเอ |
||||
รูปที่ 2.28 โครงสร้างเบสอะดีินีนและกวานีน
|
||||
|
||||
http://www.blc.arizona.edu/Molecular_Graphics/ |
||||
รูปที่ 2.29 โครงสร้างเบสไทมีนและไซโทซีน |
||||
|
||||
http://www.blc.arizona.edu/Molecular_Graphics/ | ||||
รูปที่ 2.30 โครงสร้างน้ำตาลดีออกซีไรโบส |
||||
|
||||
http://www.blc.arizona.edu/Molecular_Graphics/ |
||||
รูปที่ 2.31 โครงสร้างดีออกซีแอดีโนซีน
(deoxyadenosine) |
||||
|
||||
http://www.blc.arizona.edu/Molecular_Graphics/ |
||||
รูปที่ 2.32 การยึดจับระหว่างเบสพิวรีนและไพริมิดีนของโมเลกุลDNA |
||||
รูปที่ 2.33 โมเลกุล DNA |
||||
|
||||
http://academic.brooklyn.cuny.edu/ |
||||
สำหรับโครงสร้างของอาร์เอ็นเอนั้น
มีลักษณะเป็นสายพอลินิวคลีโอไทด์สายเดียว ประกอบด้วย น้ำตาลไรโบส (ribose) ยึดเกาะอยู่กับหมู่ฟอสเฟตและเบส 4 ประเภท เช่นเดียวกับดีเอ็นเอ ยกเว้น อาร์เอ็นเอจะมีเบสยูราซิล (uracil: U) แทนเบสไทมีน โดยสามารถแบ่งอาร์เอ็นเอตามหน้าที่การทำงานได้เป็น 3 ชนิด คือ อาร์เอ็นเอนำรหัส (messenger RNA : mRNA) อาร์เอ็นเอถ่ายโอน (transfer RNA: tRNA) และ ไรโบโซมอลอาร์เอ็นเอ (ribosomal RNA: rRNA) โดยอาร์เอ็นเอเหล่านี้มีหน้าที่สำคัญใน กระบวนการสังเคราะห์โปรตีน ซึ่งลำดับเบสบนดีเอ็นเอเปรียบเสมือนรหัสทางพันธุกรรม ของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด รหัสดังกล่าวจะถูกถ่ายทอดไปยังสายอาร์เอ็นเอเก็บรหัส โดยกระบวนการถอดรหัส (transcription) และรหัสนี้จะเป็นตัวกำหนดชนิดของ โปรตีนที่จะสังเคราะห์ขึ้นโดยผ่านกระบวนการแปลรหัส (translation) |
||||
รูปที่ 2.34 โครงสร้างน้ำตาลไรโบส |
||||
รูปที่ 2.35 โครงสร้างเบสยูราซิล |
||||
รูปที่ 2.36 การสังเคราะห์ RNA โดยมี DNA
เป็นแม่พิมพ์ |
||||
|
||||
http://www.phschool.com/science/ |
||||
รูปที่ 2.37 กระบวนการถอดรหัสและแปลรหัส |
||||
|
||||
http://www.phschool.com/science/ |
||||
รูปที่ 2.38 โครงสร้าง mRNA |
||||
|
||||
http://www.biochem.uwo.ca/meds/medna/mRNA.html |
||||
รูปที่ 2.39 โครงสร้าง tRNA |
||||
|
||||
http://www.wiley.com/legacy/college/boyer/0470003790/structure/ tRNA/trna_intro.htm |
||||
รูปที่ 2.40 ลักษณะไรโบโซมหน่วยเล็กขนาด
30 S และหน่วยใหญ่ขนาด 50 S |
||||
|
||||
http://ntri.tamuk.edu/ |
||||
ดีเอ็นเอสามารถเพิ่มจำนวนโดยการจำลองตัวเองได้
(self replication) ซึ่ง เป็นคุณสมบัติพิเศษที่สำคัญมากในการทำหน้าที่ถ่ายลักษณะทางพันธุกรรมจากสิ่งมีชีวิต รุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง การจำลองตัวของดีเอ็นเอเริ่มจากการคลายเกลียวออกจากกันแล้ว ใช้สายพอลินิวคลีโอไทด์สายใดสายหนึ่งใน 2 สายเป็นแม่พิมพ์ (template) ในการสร้าง สายใหม่ขึ้นมา ซึ่งสุดท้ายดีเอ็นเอที่จำลองใหม่จะประกอบด้วยสายพอลินิวคลีโอไทด์ สายเดิมและสายใหม่ โดยเรียกการจำลองตัวแบบนี้ว่า การจำลองแบบกึ่งอนุรักษ์ (semiconservative) นอกจากนี้ ดีเอ็นเอยังทำหน้าที่เป็นแม่แบบของการสร้างสาย อาร์เอ็นเอดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ซึ่งกระบวนการต่างๆ เหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยเอนไซม์จำเพาะ หลายชนิดในการควบคุมปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น เช่น ดีเอ็นเอโพลิเมอเรส (DNA polymerase) อาร์เอ็นเอโพลิเมอเรส (RNA polymerase) เฮลิเคส (helicase) ไลเกส (ligase) เป็นต้น |
||||
รูปที่ 2.41 การจำลอง DNA |
||||
|
||||
http://www.cat.cc.md.us/biotutorials/dna/lag.html |
||||