![]() พลังงาน กฎเทอร์โมไดนามิกส์และเอนไซม์ |
|||
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต่างมีความสามารถที่จะดำรงชีพได้ด้วยการนำสสารและพลังงานจาก สิ่งแวดล้อมเข้าไปใช้ในร่างกายโดยกระบวน เมแทบอลิซึม (metabolism) ซึ่งประกอบไปด้วย กระบวนการสังเคราะห์สารอินทรีย์ (anabolism) และ กระบวนการสลายสารอินทรีย์ (catabolism) ซึ่งเกิดขึ้นโดยอาศัยกลไกภายในตัวของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ และจะขับสสารที่เป็น ของเสียและพลังงานที่ใช้ไม่ได้กลับคืนสู่สิ่งแวดล้อม หากพิจารณาตามหลักของเทอร์โม- ไดนามิกส์ ซึ่งเป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนรูปของพลังงานในสสารทั้งมวลเราจะเห็น ได้ว่าสิ่งมีชีวิตมีลักษณะเป็นระบบเปิด (open system) ซึ่งมีการถ่ายเทมวลและพลังงานกับ สิ่งแวดล้อมอยู่ตลอดเวลากระบวนการสังเคราะห์สารอินทรีย์และสลายสารอินทรีย์์ เป็น กระบวนการที่ประกอบขึ้นด้วยปฏิกิริยาเคมีต่างๆ ภายในเซลล์โดยอาศัยเอนไซม์เป็น ถึงแม้ว่า กระบวนการเมแทบอลิซึมทั้งหลายในเซลล์สิ่งมีชีวิตจะมีความซับซ้อนมากกว่าปรากฏการณ์ ทางเคมีที่เกิดขึ้นในหลอดทดลอง แต่เราก็สามารถนำหลักการทางเทอร์โมไดนามิกส์มาอธิบาย การหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงทางสสารและพลังงานของชีวิตได้ |
|||
|
|||
กฎข้อที่หนึ่งของเทอร์โมไดนามิกส์มีพื้นฐานมาจากกฎการอนุรักษ์พลังงาน (principle of conservation of energy) ซึ่งกล่าวว่า พลังงานสามารถเปลี่ยนจากรูปหนึ่งไปเป็นอีกรูปหนึ่ง ได้แต่ไม่สามารถสร้างหรือทำให้พลังงานหายไปได้ ้ |
|||
เมื่อเราพิจารณาหน้าที่ของโรงไฟฟ้าจะเห็นว่า
โรงไฟฟ้าเองไม่ได้ทำการสร้าง กระแสไฟฟ้าขึ้นมาแต่มันทำหน้าที่ในการเปลี่ยนรูปพลังงานให้มาอยู่ในรูปที่เราสามารถ นำมาใช้ได้ หรือการที่พืชสังเคราะห์แสงก็เป็นการเปลี่ยนพลังงานแสงให้เป็นพลังงานเคมี มันทำหน้าที่แปลงรูปพลังงานไม่ได้สร้างพลังงานขึ้นมาใช้เอง การทำงานของรถยนต์ก็เป็น การเปลี่ยนพลังงานเคมีในรูปของน้ำมันเชื้อเพลิงไปเป็นพลังงานกลที่ทำให้รถแล่นได้ ร่างกายของเราก็เช่นกันมันทำหน้าที่ี่เปลี่ยนแปลงพลังงานเคมีจากสารอาหารไปเป็นพลังงาน เคมีในรูปสารเก็บพลังงานหมุนเวียนในเซลล์ ซึ่งกล้ามเนื้อสามารถนำไปใช้ให้้เกิดงานกล ในการเคลื่อนที่ |
|||
|
|||
ในกระบวนการต่างๆ
ที่มีการเปลี่ยนรูปของพลังงาน เช่น ในการเปลี่ยนพลังงานเคมีจาก สารอาหารไปเป็นพลังงานกลในขณะที่สิ่งมีชีวิตเคลื่อนที่ จะมีพลังงานส่วนหนึ่งจะสูญเสียไป เสมอในรูปของพลังงานความร้อน ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนพลังงานเคมีของน้ำมันเชื้อเพลิง ไปเป็นพลังงานกล ประมาณ 25% ของพลังงานเคมีเท่านั้นที่ทำให้เกิดงานกลได้ ส่วนอีก 75% จะสูญเสียไปในรูปของพลังงานความร้อนปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อม ประสิทธิภาพในการ เปลี่ยนแปลงพลังงานดังกล่าวเป็นไปตาม กฎข้อที่สองของเทอร์โมไดนามิกส์ ซึ่งกล่าวว่า พลังงาน รูปต่างๆ เช่นพลังงานกล หรือพลังงานไฟฟ้า ล้วนมีความโน้มเอียงที่จะเปลี่ยนรูป เป็นพลังงานความร้อน กฎข้อนี้ให้หลักเกณฑ์เกี่ยวกับทิศทางของการเปลี่ยนแปลง คือว่า กระบวนการใดๆ ก็ตามจะมีการปลดปล่อยพลังงานออกมา ซึ่งอาจจะนำไปใช้เป็นประโยชน์ ์ได้แค่เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะกลายสภาพเป็นพลังงานความร้อน และหากไม่นำ พลังงานที่ถูกปล่อยออกมาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ในที่สุดพลังงานก็จะเปลี่ยนสภาพเป็น ความร้อนไปหมด ซึ่งสิ่งมีชีวิตโดยทั่วไปไม่สามารถนำพลังงานความร้อนมาใช้ให้เกิดงานได้ เนื่องจากการทำให้ความร้อนเปลี่ยนกลับไปเป็นพลังงานรูปอื่นๆ ได้อย่างสมบูรณ์นั้นต้องอาศัย การถ่ายเทความร้อนไปยังแหล่งที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า ร่างกายสิ่งมีชีวิตมีอุณหภูมิที่ค่อนข้างคงที่ จึงนำพลังงานจากความร้อนมาใช้ไม่ได้เลย |
|||
|
|||
ในระบบปิดซึ่งมีการแลกเปลี่ยนเฉพาะพลังงานความร้อนกับระบบแต่ไม่มีการ แลกเปลี่ยนมวลนั้น การเปลี่ยนแปลงพลังงานต่างๆ จะเกิดขึ้นในทิศทางที่จะเพิ่มความ ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยหรือเอนโทรปี (entropy) ของระบบนั้น แต่เราจะเห็นว่าธรรมชาติิของ สิ่งมีชีวิตหลายอย่างดูจะขัดแย้งกับหลักในข้อนี้ สิ่งมีชีวิตสามารถรักษาหรือเพิ่มความเป็น ระเบียบเรียบร้อยขององค์ประกอบต่างๆ ของมันได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อไรก็ตามที่มันสิ้นชีวิตลง การเปลี่ยนแปลงในทางที่จะไปเพิ่มเอนโทรปีจะเกิดขึ้นทันที จนกระทั่งในที่สุดซากของมัน ได้ถึงสมดุลทางเทอร์โมไดนามิกส์กับสิ่งแวดล้อม แต่ในขณะที่มีชีวิตอยู่่กระบวนการเมแท- บอลิซึมของมันจะทำให้สิ่งมีชีวิตสามารถรักษาระดับเอนโทรปีไว้ไม่ให้เพิ่มเร็วเกินไป และ การหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของมวลและพลังงานโดยกระบวนการเมแทบอลิซึมจะทำให้ ้เอนโทรปีส่วนเกินซึ่งจะต้องเกิดขึ้นจากกิจกรรมต่างๆ ของเซลล์ถูกคายออกมาให้กับ สิ่งแวดล้อม ดังนั้นกระบวนการทั้งหลายในสิ่งมีชีวิตจึงไม่ขัดแย้งกับกฎข้อที่สองของ เทอร์โมไดนามิกส์แต่อย่างใด |
|||