![]() |
|||
ขั้นตอนการสร้างอาร์เอ็นเอทั้งในโปรแคริโอตและยูแคริโอต
โดยภาพรวมแล้วมี ลักษณะเหมือนกันคือสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ขั้นตอนใหญ่ๆ ได้แก่ ขั้นเริ่มต้น (initiation) ขั้นต่อสาย (elongation) และขั้นหยุด (termination) |
|||
|
|||
เป็นขั้นที่เอ็นไซม์อาร์เอ็นเอโพลีเมอเรสมาจับกับสายดีเอ็นตรงตำแหน่ง
โปรโมเตอร์ และง้างเกลียวคู่ของสายดีเอ็นเอให้แยกออกจากกัน โดยในโปรแคริโอต
เอ็นไซม์อาร์เอ็นเอ |
|||
![]() รูปที่ 3.5 ขั้นเริ่มต้น (initiation) ของการสังเคราะห์ RNA ในโปรแคริโอต |
|||
ส่วนในยูแคริโอต
ตัวที่ทำหน้าที่จดจำตำแหน่งของโปรโมเตอร์ไม่ใช่เอ็นไซม์อาร์เอ็นเอ โพลีเมอเรสแต่โปรตีนที่ทำหน้าที่เป็นทรานสคริปชันแฟคเตอร์อีกหลายชนิด ดังนั้นในขั้นเริ่มต้น จึงเป็นการเข้าจับของทรานสคริปชันแฟคเตอร์ตรงตำแหน่งโปรโมเตอร์ก่อน แล้วจึงเหนี่ยวนำ ให้มีการเข้าจับของเอ็นไซม์อาร์เอนเอโพลีเมอเรสตรงตำแหน่งโปรโมเตอร์อีกทีหนึ่ง จากนั้นก็ ยังมีการเข้ามาจับสายดีเอ็นเอของทรานสคริปชันแฟคเตอร์อีกหลายชนิด (โดยตัวที่เข้ามาตอน ท้ายนี้จะเป็นตัวช่วยให้เอ็นไซม์อาร์เอ็นเอโพลีเมอเรสเคลื่อนที่ออกจากจุดเริ่มต้น เพื่อทำการ สังเคราะห์อาร์เอ็นเอได้) เมื่อผ่านขั้นตอนนี้แล้วเอ็นไซม์จึงจะง้างเกลียวของดีเอ็นเอเพื่อให้เกิด การทำงานในขั้นตอนต่อไป |
|||
![]() รูปที่ 3.6 ขั้นเริ่มต้น (initiation) ของการสังเคราะห์ RNA ในยูแคริโอต |
|||
![]() |
|||
|
|||
![]() |
|||
|
|||
เป็นขั้นที่ทำให้สายอาร์เอ็นเอยาวขึ้นโดยเอ็นไซม์อาร์เอ็นเอโพลีเมอเรสจะนำ นิวคลีโอไทด์เข้ามาต่อที่ปลายด้าน 3' ของสายอาร์เอ็นเอ (ทำให้โมเลกุลของอาร์เอ็นเอ ยืดยาวออกไปในทิศ 5' ไป 3') ในระหว่างที่เอ็นไซม์อาร์เอ็นเอโพลีเมอเรสเคลื่อนที่ไป เพื่อการสังเคราะห์อาร์เอ็นเอ ก็จะเกิดการง้างเกลียวของดีเอ็นเอทางด้านหน้าของเอ็นไซม์ อย่างต่อเนื่อง ส่วนดีเอ็นเอทางด้านหลังของเอ็นไซม์ซึ่งได้ผ่านการคัดลอกไปแล้วจะกลับพัน เป็นเกลียวเหมือนเดิม อย่างไรก็ตามจะยังคงมีดีเอ็นเอที่อยู่ในสภาพคลายเกลียวอยู่ประมาณ 15- 17 คู่เบสเสมอ เนื่องจากยีนต่างๆ ที่ใช้เป็นแม่แบบในการคัดลอกมีตำแหน่งกระจายตัว อยู่บนสายดีเอ็นเอ และมีโปรโมเตอร์จำเพาะของตัวเอง ดังนั้นการสังเคราะห์อาร์เอ็นเอ จึงสามารถเกิดขึ้นพร้อมกันได้ในหลายๆ ยีนบนดีเอ็นเอโมเลกุลเดียวกัน ในขั้นต่อสายของ ยูแคริโอต พบว่ามีโปรตีนอีกหลายชนิดที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเอ็นไซม์อาร์ เอ็นเอโพลีเมอเรส เรียกโปรตีนเหล่านั้นว่า อิลองเกชันแฟคเตอร์ (elongation factor) |
|||
![]() รูปที่ 3.7 ขั้นต่อสาย (elongation) ของการสังเคราะห์ RNA |
|||
![]() |
|||
|
|||
![]() |
|||
|
|||
การสังเคราะห์อาร์เอ็นเอจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตราบเท่าที่เอ็นไซม์อาร์เอ็นเอ โพลีเมอเรสยังสามารถนำนิวคลีโอไทด์เข้ามาต่อกับสายอาร์เอ็นเอได้ แต่การทำงานนี้ จะหยุดลงเมื่อเอ็นไซม์ได้รับสัญญาณให้หยุดหรือจบการสังเคราะห์อาร์เอ็นเอ (termination signal) |
|||
ในโปรแคริโอตสัญญาณดังกล่าวสามารถจำแนกออกได้เป็น
2 ประเภท ได้แก่ ประเภท ที่ทำงานโดยไม่ขึ้นกับการทำงานของโปรตีนที่มีชื่อว่า rho (อ่านว่า โร ใช้สัญลักษณ์ ![]() การทำงานดังนี้ ในกรณีที่การหยุดหรือจบการสังเคราะห์อาร์เอ็นเอโดยไม่ขึ้นกับการทำงานของ โปรตีน rho จะเป็นผลมาจากลำดับเบสบนสายดีเอ็นเอแม่แบบนั่นเอง กล่าวคือ เมื่อเอ็นไซม์ เคลื่อนที่มาถึงบริเวณที่จะหยุดหรือจบการสังเคราะห์อาร์เอ็นเอ จะพบกับลำดับเบสบนสาย ดีเอ็นเอที่มีปริมาณเบส G และ C เรียงต่อกันจำนวนมาก อาร์เอ็นเอที่เกิดจากการคัดลอก ดีเอ็นเอบริเวณนี้จะเกิดการจับคู่กันเองระหว่างเบส G และ C ซึ่งลักษณะของการจับจะเหมือน กับที่เกิดขึ้นบนสายดีเอ็นเอ ทำให้มีลักษณะเป็นรูปห่วง (loop) ถัดจากลำดับเบสเหล่านี้จะต่อ ด้วยลำดับเบส A เรียงต่อกันอีกจำนวนมากอาร์เอ็นเอที่เกิดจากการคัดลอกดีเอ็นเอบริเวณนี้ (มีเบส U ต่อกันจำนวนมาก) จะมีความสามารถในการเกาะกับสายดีเอ็นเอแม่แบบได้ไม่ดีนัก (เพราะเป็นเพียงพันธะไฮโดรเจนระหว่างเบส A-U) การจับคู่กันเองระหว่างเบส G และ C จน ทำให้อาร์เอ็นเอมีลักษณะเป็นรูปห่วงนั้นจะส่งผลให้แรงยึดระหว่างสายอาร์เอ็นเอกับเอ็นไซม์ อาร์เอ็นเอโพลีเมอเรสมีน้อยลง ซึ่งจะกระตุ้นให้สายอาร์เอ็นเอหลุดออกจากเอ็นไซม์อาร์เอ็นเอ โพลีเมอเรสได้ง่ายขึ้น เมื่อบวกกับพันธะที่จับกันอย่างอ่อนๆ ระหว่างเบส A-U แล้ว ผลรวมที่ เกิดตามมาคือ สายอาร์เอ็นเอ (สายเดี่ยว) จะหลุดออกจากบริเวณที่มีการคัดลอก ตามมาด้วย การหลุดออกจากสายดีเอ็นเอของเอ็นไซม์อาร์เอ็นเอโพลีเมอเรส และท้ายที่สุดดีเอ็นเอที่อยู่ใน สภาพคลายเกลียวก็จะกลับมาพันเกลียวกันเหมือนเดิม ในกรณีที่การหยุดหรือจบการสังเคราะห์ อาร์เอ็นเอที่ขึ้นกับการทำงานของโปรตีน rho นั้นจะพบในกรณีที่ดีเอ็นเอสายแม่แบบไม่มีลำดับ เบส A เรียงต่อกันอีกจำนวนมาก มีเพียงเบส G และ C เรียงต่อกันจำนวนมากจนเกิดการสร้าง รูปห่วงของสายอาร์เอ็นเอ ในกรณีนี้โปรตีน rho จะเข้าจับกับสายอาร์เอ็นเอตรงตำแหน่งจับที่ จำเพาะซึ่งอยู่ก่อนตำแหน่งที่จะเกิดการสร้างรูปห่วง จากนั้นจะเคลื่อนที่มาเรื่อยๆ จนกระทั้งมา หยุดอยู่ที่ตำแหน่งที่เป็นรูปห่วง แล้วทำให้เกิดการหลุดออกจากกันขององค์ประกอบต่างๆ เช่น เดียวกับในกรณีแรก แต่กลไกการทำงานที่ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ยังไม่เป็นที่ทราบ แน่ชัด |
|||
สำหรับในยูแคริโอต
เอ็นไซม์อาร์เอ็นเอโพลีเมอเรสจะยังคงสามารถนำนิวคลีโอไทด์ เข้ามาต่อกับสายอาร์เอ็นเอได้อีกกว่าร้อยหน่วย แม้ว่าจะเคลื่อนที่ผ่านตำแหน่งให้หยุดหรือจบ การสังเคราะห์อาร์เอ็นเอไปแล้ว (ได้แก่ลำดับเบส AAUAAA) ด้วยเหตุนี้สัญญาณเตือนดังกล่าว จึงถูกคัดลอก และไปปรากฏอยู่บน mRNA แต่ถัดจากลำดับเบสนี้ไปอีกประมาณ 10-35 นิวคลีโอไทด์ mRNA นี้จะถูกตัดด้วยเอ็นไซม์ทำให้สายอาร์เอ็นเอหลุดออกจากบริเวณที่มี การคัดลอก ตามมาด้วยการหลุดของเอ็นไซม์อาร์เอ็นเอโพลีเมอเรส ออกจากสายดีเอ็นเอ และการคืนสู่สภาพเกลียวคู่ของสายดีเอ็นเอ |
|||
![]() รูปที่ 3.7 ขั้นตอนหยุด (termination) ของการสังเคราะห์ RNA |
|||
เมื่อสิ้นสุดกระบวนการคัดลอกผลิตผลที่ได้คือ
อาร์เอ็นเอชนิดต่างๆ ซึ่งอยู่ในสภาพ ที่ยังไม่พร้อมที่จะถูกนำไปใช้งาน จึงต้องมีการตัดแต่งโมเลกุลของอาร์เอ็นเอเหล่านี้เสียก่อน ซึ่งขั้นตอนของการตัดแต่งนั้นมากบ้างน้อยบ้างขึ้นอยู่กับชนิดของอาร์เอ็นเอ วิธีการของ การตัดแต่งโมเลกุลของอาร์เอ็นเอชนิดต่างๆ จะกล่าวโดยละเอียดในหัวข้อถัดไป |
|||
![]() |
|||
|
|||
![]() |
|||