ยีนโดยทั่วไปจะอยู่รวมกับโปรตีนประกอบกันเป็นโครโมโซม โครโมโซมเหล่านี้จะมีการเปลี่ยนรูปร่าง และมีความหนา ความยาวขนาดต่าง ๆ ตามระยะของวัฏจักรเซลล์ เซลล์แต่ละประเภททำหน้าที่แตกต่างกัน และมีการแสดงออกยีนที่ต่างกันด้วย ทั้งที่โดยทั่วไปแล้ว ยีนในแต่ละเซลล์ของสิ่งมีชีวิตเดียวกันควรจะมียีนที่เหมือนกัน และจำนวนเท่ากัน ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าในเซลล์ต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต มีการแสดงออกที่ต่างกันและไม่เท่ากัน โดยที่ส่วนประกอบอื่นของโครโมโซมนอกเหนือจากตัว DNA มีส่วนร่วมด้วย ดังนั้น การแสดงออกยีนจึงควรเป็นการเลือกว่ายีนตัวไหนจะถูกปิดบังไว้ ยีนตัวไหนควรเปิดออก เพื่อทำการสร้าง RNA โปรตีน และอื่นๆ
|
||||||||||||
โครโมโซมเป็นแหล่งบรรจุสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต อยู่ในนิวเคลียส ไมโตคอนเดรีย และคลอโรพลาสต์ (ภาพที่ 1.1) มีความจำเพาะทั้งขนาด รูปร่าง และจำนวนในสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด บนโครโมโซมมียีน ซึ่งส่วนใหญ่ทำหน้าที่กำหนดการสร้างโปรตีนไว้ใช้ ทั้งในและนอกเซลล์ โครงสร้างของโครโมโซมคือ DNA รวมอยู่กับโปรตีนหลายชนิด (ภาพที่ 1.2) ซึ่งประกอบขึ้นเป็นหน่วยย่อยมากมาย แต่ละหน่วยเรียกว่า นิวคลีโอโซม (nucleosome) จากโครงสร้างนี้เอง ทำให้โครโมโซมมีหน้าที่ป้องกันความเสียหาย ที่จะเกิดขึ้นกับสารพันธุกรรมไม่ให้ถูกทำลายได้โดยง่าย นอกจากนั้น โครโมโซมยังมีหน้าที่เพิ่มปริมาณสารพันธุกรรม และถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานผ่านทางการแบ่งเซลล์ |
||||||||||||
|
||||||||||||
ภาพที่ 1.1 เซลล์ที่แสดงส่วนประกอบของออแกเนลล์ซึ่งบรรจุสารพันธุกรรม |
||||||||||||
|
||||||||||||
ภาพที่ 1.2 โครโมโซมในนิวเคลียสรูปร่างเป็นแท่งประกอบด้วย DNA รวมกับโปรตีน
|
||||||||||||
นิวคลีโอโซมคือหน่วยย่อยของโครโมโซม
ประกอบด้วย DNA ที่รวมอยู่กับโปรตีนฮีสโตน (histone protein) ซึ่งมีกรดอะมิโนที่เป็นเบสอยู่มาก
โปรตีนฮีสโตนแบ่งเป็นชนิดย่อยๆ มีชื่อเรียกว่า H1, H2A, H2B, H3 และ H4
การรวมตัวของ DNA และโปรตีนฮีสโตนหลายๆ โมเลกุล ทำให้เกิดเป็นโพลีนิวคลีโอโซม (polynucleosome) ขึ้นมา (ภาพที่ 1.3)
|
||||||||||||
|
||||||||||||
|
||||||||||||
|
||||||||||||
|
||||||||||||
|
||||||||||||
ภาพที่ 1.4 นิวคลีโอโซมหลายโมเลกุลมาเชื่อมกันโดยขดเป็นเกลียวโซลีนอยด์ โครมาตินและโครโมโซมตามลำดับ
|
||||||||||||
เนื่องจากเซลล์มีหลายชนิด แต่ละชนิดมีหน้าที่ในการทำงานที่แตกต่างกันออกไป เช่น เซลล์ประสาท เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์สืบพันธุ์ เซลล์เม็ดเลือด เป็นต้น บางชนิดเมื่อเจริญเต็มที่จนทำหน้าที่เฉพาะอย่างของมันแล้ว ก็จะไม่มีการแบ่งตัวอีก แต่บางชนิดจะแบ่งตัวเองใหม่เรื่อยๆ เพื่อเพิ่มจำนวน หรือแทนที่เซลล์เก่าที่หมดสภาพ ตัวอย่างได้แก่ เซลล์บุผิว ดังนั้น เซลล์ใดจะหมุนเวียนอยู่ในวัฏจักรหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์ และความจำเป็นในการแบ่งเซลล์นั้นๆ เซลล์บางชนิดในภาวะปกติอาจอยู่ในสภาพไม่มีการแบ่งเซลล์ แต่ถ้าหากถูกกระตุ้นจากปัจจัยภายนอก ก็อาจวกกลับเข้าไปอยู่ในวัฏจักรได้อีก เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาว หากมีการกระตุ้นโดยสารเคมีบางประเภท หรือสารแปลกปลอม ก็จะเกิดการแบ่งเซลล์เพิ่มจำนวนขึ้นมาได้อีก นอกจากนี้ เซลล์แต่ละชนิดยังใช้เวลาในการเตรียมตัวเพื่อแบ่งเซลล์มากน้อยต่างกัน ช่วงเวลาทั้งหมดในการเตรียมตัวเพื่อแบ่งเซลล์ รวมเรียกว่า อินเตอร์เฟส (interphase) เป็นระยะยาวนานที่สุดของวัฏจักรเซลล์ ในระยะนี้ เซลล์จะมีการสังเคราะห์โปรตีน RNA และมีการลอกแบบเพิ่มจำนวน DNA ทำให้มีเนื้อโครโมโซมเพิ่มขึ้น 2 เท่า ในระยะนี้โครมาตินมีลักษณะเป็นสายยาวพันกันยุ่งเหยิง มองเห็นเป็นก้อนกลมๆ อยู่ในเซลล์ (ภาพที่ 1.5) พอเข้าระยะโปรเฟส (prophase) โครมาตินจะหดตัวสั้นเข้า ทำให้เห็นเป็นแท่งโครโมโซมชัดเจน (ภาพที่ 1.6) และจะเห็นชัดที่สุดในระยะเมตาเฟส (metaphase) เนื่องจากแท่งโครโมเซมมีการหดตัวสั้นเต็มที่ จะเห็นโครโมโซมแต่ละแท่งมี
2 ข้าง แต่ละข้างเรียกโครมาติด (chromatid) ส่วนกลางและส่วนปลายของโครโมโซมเรียก เซนโทรเมียร์ (centromere) และ เทโลเมียร์
(telomere) ตามลำดับ ในระยะนี้โครมาทิดจะเลื่อนมาเรียงกันกลางเซลล์ (ภาพ 1.7) |
||||||||||||
ส่วนประกอบของเมตาเฟสโครโมโซม
|
||||||||||||
ในเนื้อโครโมโซม มีบริเวณที่เรียกว่า ยูโครมาติน (euchromatin) เป็นส่วนที่มีการแสดงออกของยีน ในบริเวณนี้ โครมาตินมีการขดตัวในระยะอินเตอร์เฟส และมีการคลายตัวออกเมื่อมีการคัดลอกแบบ นอกจากนี้ยังมีบริเวณที่เรียกว่า เฮทเทอโรโครมาติน (heterochromatin) ซึ่งเป็นโครมาตินที่หดสั้นมาก ตลอดวัฏจักรของเซลล์ เป็นบริเวณที่ไม่มีการคัดลอกเบสเลย
|
||||||||||||
โครโมโซมแต่ละแท่งจะมีคู่เหมือนที่เรียกว่าโฮโมโลกัสโครโมโซม (homologous chromosome) ซึ่งจะมียีนที่เหมือนกัน หรือคล้ายกันมากร่วมกันทำงาน ตัวอย่างของโฮโมโลกัสโครโมโซม เช่น ในมนุษย์ โครโมโซมมนุษย์ใน 1 เซลล์ มี 46 แท่ง หรือ 23 คู่ แบ่งเป็นโครโมโซมร่างกาย 22 คู่ และโครโมโซมเพศ 1 คู่ (ภาพที่ 1.8) |
||||||||||||
|
||||||||||||
โครโมโซมที่มีลักษณะพิเศษในธรรมชาติ เช่น โพลีทีนโครโมโซม หรือไจแอนท์โครโมโซม (polytene chromosome หรือ giant chromosome) ในเซลล์ต่อมน้ำลายแมลงหวี่ มีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนโครมาติดโดยไม่แยกออกจากกัน ทำให้ในการแบ่งตัวแต่ละครั้งจะได้โครโมโซมที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และมีจุดเชื่อมกันบริเวณเซนโทรเมียร์เป็นโครโมโซมเดียว (ภาพที่ 1.9) ................อีกตัวอย่างหนึ่งคือ แลมป์บรัชโครโมโซม (lampbrush chromosome) พบในเซลล์ไข่ของสัตว์มีกระดูกสันหลัง โครโมโซมมีลักษณะโป่งพองออก คล้ายแปรงล้างขวด เนื่องจากมีการสังเคราะห์ DNA และโปรตีน อย่างรวดเร็ว และผลิตโปรตีนจำนวนมาก (ภาพที่ 1.10) |
||||||||||||
|
||||||||||||
์ |
||||||||||||
โครโมโซมในไมโตคอนเดรียและคลอโรพลาสต์ (ภาพที่ 1.11) มีลักษณะต่างจากโครโมโซมในนิวเคลียสหลายประการ ได้แก่ โครงสร้างที่เป็นวงแหวนขนาดเล็ก และจำนวนยีนที่น้อยกว่ามาก รวมถึงการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ที่ฝ่ายแม่จะเป็นผู้ถ่ายทอดสารพันธุกรรมในไมโตคอนเดรีย หรือคลอโรพลาสต์ไปสู่ลูก โดยผ่านทางไข่ โครโมโซมในไมโตคอนเดรีย มียีนสำคัญ ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการหายใจ ส่วนหน้าที่สำคัญของโครโมโซมในคลอโรพลาสต์ จะเกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์ด้วยแสงและการสร้างสีใบ |
||||||||||||
|
||||||||||||
|
||||||||||||
|
||||||||||||
|
||||||||||||
สิ่งมีชีวิตประเภทแบคทีเรียและไวรัส มีโครโมโซมซึ่งต่างจากสิ่งมีชีวิตชั้นสูง หรือยูคาริโอต
เนื่องจากต้องบรรจุสารพันธุกรรม เข้าไปในพื้นที่จำกัดภายในเซลล์ของแบคทีเรีย หรืออนุภาคไวรัส
ดังนั้น โครโมโซมจึงต้องมีโครงสร้างที่ยืดหยุ่นได้ดี เช่นโครโมโซมของแบคทีเรีย ประกอบด้วย
DNA มีลักษณะเป็นวงแหวนในสภาพปกติ และบิดเป็นเกลียวแน่นเรียก ซูเปอร์คอยล์โครโมโซม
(supercoiled chromosome) และเมื่อเกิดการแสดงออกของยีน ก็จะสามารถคลายตัวออกได้เรียก
รีแลกซ์โครโมโซม (relaxed chromosome) (ภาพที่ 1.12) |
||||||||||||
ภาพที่ 1.12 โครโมโซมแบคทีเรียซึ่งเป็นได้ทั้งสภาพซูเปอร์คอยล์และรีแลกซ์ |
||||||||||||
|
||||||||||||
ภาพที่ 1.13 โครโมโซมของไวรัสที่เป็น DNA สายเดี่ยวและสายคู่ |
||||||||||||
|
||||||||||||
โครงสร้างของยีน ประกอบด้วยลำดับเบสของ DNA (จะกล่าวถึงในบทต่อไป) ที่ต่อเนื่องบนโครโมโซม มีทั้งส่วนที่เป็น เอ็กซอน (exon) คือส่วนที่ใช้แปลรหัสเป็นโปรตีน และ อินทรอน (intron) คือส่วนที่ไม่ใช้แปลรหัสเป็นโปรตีน ยีนต่างๆ ที่กระจายตัวอยู่บนโครโมโซมแต่ละแท่ง ทำหน้าที่สร้างโปรตีนแตกต่างกัน โดยผ่านการลอกแบบ เพื่อเพิ่มปริมาณ DNA การคัดลอกของ DNA เป็น RNA และการแปลรหัสจาก RNA เป็นโปรตีน (ภาพที่ 1.14) ซึ่งรายละเอียดจะได้กล่าวไว้ในบทที่ 3 |
||||||||||||
ภาพที่ 1.14 การทำงานของยีนบนโครโมโซม (ซ้าย) เปรียบการทำงานของยีนเป็นการแปลภาษา(ขวา) |
||||||||||||
|
||||||||||||
ใใใใใจะเห็นว่า replication คือการลอกให้เหมือนเดิมทุกประการ ส่วน transcription (การคัดลอก) เป็นการเปลี่ยน font ของ DNA มาเป็น font ของ RNA การเปลี่ยน font นี้ ทำให้สามารถอ่านรหัสได้ง่ายขึ้น จึงทำให้เกิดการ translation (แปลรหัส) แต่การคัดลอกนี้ ไม่จำเป็นต้องคัดลอกเป็น mRNA ทั้งหมด การคัดลอกเป็น mRNA นี้ถือว่าเป็นการลอกรหัสก็ได้
|
||||||||||||
|
||||||||||||
ที่มา
: www.whfreeman.com/lodish
|