สารหลายตัวมีคุณสมบัติในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์โดยทำปฏิกิริยากับ เอนไซม์แล้วจึงยับยั้งที่ขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งของการทำงาน ตามปกติตัวยับยั้ง อาจเข้าจับหรือทำปฏิกิริยากับเอนไซม์ที่บริเวณเร่งแล้วทำให้ซับสเตรตไม่สามารถจับกับเอนไซม์ได้ตามเดิม หรือหากจับได้ก็ไม่สามารถดำเนินปฏิกิริยาไปตามปกติได้ หรือตัวยับยั้งอาจทำปฏิกิริยากับเอนไซม์ ที่ส่วนอื่นของโมเลกุล แล้วก่อให้เกิด การเปลี่ยนแปลงโครงร่างของโมเลกุลไป ทำให้เอนไซม์หมดประสิทธิภาพในการเร่งปฏิกิริยา

       สารที่สามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์แบ่งออก เป็นสองประเภท คือ ตัวยับยั้งแบบทวนกลับไม่ได้ (irreversible inhibitor) และ ตัวยับยั้งแบบทวนกลับได้ (reversible inhibitor)

       ตัวยับยั้งแบบทวนกลับไม่ได้ จับกับเอนไซม์ด้วยพันธะที่มีความแข็งแรง เช่น พันธะโควาเลนต์ ทำให้เกิดสารประกอบเชิงซ้อนที่คงตัว ทำให้เอนไซม์ไม่สามารถเร่งปฏิกิริยาต่อไปได้ และยังไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพ ที่เร่งปฏิกิริยาได้อีกด้วย
       ตัวอย่างเช่น การยับยั้งเอนไซม์ไซโคลอออกซีจีเนส (cyclooxygenase) โดยแอสไพริน (aspirin) หรือ อะซิติลซาลิไซเลต (acetyl salicylate)
     
          สำหรับตัวยับยั้งแบบทวนกลับได้มีอยู่สามชนิด คือ ตัวยับยั้งแบบแข่งขัน (competitive inhibitor) ตัวยับยั้งแบบไม่แข่งขัน (non-competitive inhibitor) และตัวยับยั้งแบบไม่สามารถแข่งขันได้โดยตรง (uncompetitive inhibitor)
           

          ตัวยับยั้งแบบแข่งขัน (competitive inhibitor) มักจะมีโครงสร้างคล้ายคลึงกับซับสเตรต จึงอาจสามารถจับกับบริเวณเร่งของเอนไซม์ได้เช่นเดียวกับซับสเตรต ดังนั้นซับสเตรตและตัวยับยั้งชนิดนี้จึงเป็นคู่แข่งขันแย่งกันจับกับเอนไซม์ แต่ตัวยับยั้งไม่สามารถทำปฏิกิริยาต่อไปได้ดังเช่นซับสเตรตหรือทำปฏิกิริยา ต่อไปได้เพียงช้าๆ ตัวยับยั้งแบบแข่งขันอาจจับกับเอนไซม์ที่บริเวณอื่นๆ นอกจากบริเวณที่ตัวเข้าทำปฏิกิริยาจับ แล้วทำให้เอนไซม์ เปลี่ยนแปลงโครงร่างไปจนไม่สามารถจับกับตัวเข้าทำปฏิกิริยาได้อีกก็ได้ ถ้ามีซับสเตรตมากๆ ตัวยับยั้งแบบนี้ก็จะแย่งจับกับเอนไซม์ได้น้อยลง จึงลดผลของการยั้บยั้งได้ การยับยั้งแบบนี้ค่า Vmax ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ค่า Km เพิ่มขึ้น

 

ค่า [I0] คือ ไม่มีตัวยับยั้ง

ค่า [I1] จะมีความเข้มข้นของตัวยับยั้งน้อยกว่า [I2]

          

        จากกราฟการยับยั้งแบบนี้จะทำให้ค่า Vmax เท่าเดิม แต่ทำให้ค่า Km เพิ่มขึ้น เพราะซับสเตรตต้องแข่งกับตัวยับยั้งในการจับกับเอนไซม์ ถ้ามีความเข้นข้นของซับสเตรตมาก ซับสเตรตก็จะแย่งกับตัวยับยั้งได้ดีขึ้น จึงเปรียบเสมือนลดผลของการยับยั้งแบบนี้ลง

 

 

ตัวยับยั้งเอนไซม์แบบไม่แข่งขัน

 
            

         ตัวยับยั้งแบบไม่แข่งขัน (non-competitive inhibitor) จะเข้าจับกับเอนไซม์บริเวณอื่นที่ไม่ใช่บริเวณเร่ง ลำดับในการเข้าจับนั้นอาจเป็นแบบตัวยับยั้งจับกับเอนไซม์อิสระ หรือเอนไซม์ที่อยู่ในรูปของสารประกอบเชิงซ้อนของเอนไซม์-ซับสเตรตก็ได้ เมื่อเกิดเป็น สารประกอบเชิงซ้อนของเอนไซม์-ซับสเตรต-ตัวยับยั้ง (ESI) แล้ว จะไม่เกิดผลิตภัณฑ์ขึ้น การที่มีเอนไซม์มากๆ ก็ไม่สามารถลดผลของการยั้บยั้งนี้ได้ การยับยั้งแบบนี้จะมีค่า Vmax ลดลง แต่ค่า Kmไม่เปลี่ยนแปลง

 

ค่า [I0] คือ ไม่มีตัวยับยั้ง

ค่า [I1] จะมีความเข้มข้นของตัวยับยั้งน้อยกว่า [I2]

        

         จากกราฟ การยับยั้งแบบนี้จะทำให้ค่า Vmax ลดลง แต่ค่า Km ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะหากตัวยับยั้งทำให้สารประกอบเชิงซ้อนระหว่างเอนไซม์กับซับสเตรตไม่สามารถเปลี่ยนแปลงต่อไปเป็นผลิตภัณฑ์ได้ นั่นหมายถึง เราสูญเสียเอนไซม์ตัวนั้นไป จึงทำให้ค่า Vmax ลดลง แต่ค่า Km เท่าเดิมเพราะเอนไซม์ที่เหลือไม่ได้ลดความสามารถในการจับกับซับสเตรตลง ค่าความเข้มข้นของซับสเตรตที่จะทำให้อัตราเร็วเป็นครึ่งหนึ่งของอัตราเร็วสูงสุดจึงเท่าเดิม

 

 

ตัวยับยั้งเอนไซม์แบบไม่แข่งขันโดยตรง

 

          ตัวยับยั้งแบบไม่สามารถแข่งขันได้โดยตรง (uncompetitive inhibitor) ตัวยับยั้งแบบนี้จะเข้าจับกับ สารประกอบเชิงซ้อนของเอนไซม์-ซับสเตรต(ES) เท่านั้น ได้เป็นสารประกอบเชิงซ้อนของเอนไซม์-ซับสเตรต-ตัวยับยั้ง (ESI) แล้วไม่เปลี่ยนแปลงต่อไปเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ การมีซับสเตรตมากๆ ก็ไม่ได้เป็นการลดผลของการยับยั้งแบบนี้ การยับยั้งแบบนี้ทำให้ค่า Vmax และ Km ลดลง

ค่า [I0] คือ ไม่มีตัวยับยั้ง

ค่า [I1] จะมีความเข้มข้นของตัวยับยั้งน้อยกว่า [I2]

       

         จากกราฟ การยับยั้งแบบนี้จะทำให้ค่า Vmax และ Km ลดลง เนื่องจากตัวยับยั้ง
จะจับกับสารประกอบเชิงซ้อนระหว่างเอนไซม์กับซับสเตรต จึงทำให้ค่าทั้งสองลดลง