คำถาม C.Van Nielได้ค้นพบว่าแบคทีเรีย
(bacteria)สังเคราะห์ด้วยแสง
ที่อยู่ในบ่อน้ำร้อน สามารถปล่อยกำมะถัน (S) ออกมาจาก
H2Sท่านจะอธิบายปรากฎการณ์นี้ได้อย่างไร ( S
อยู่ในหมู่เดียวกับ O ในตารางธาตุ
)
ช่วงระบบแสง
I หรือ P700 ได้แสดงไว้ในรูปที่ 2.5 ในขั้นตอนนี้ P700 จะได้รับพลังงานจากแสง
ทำให้อิเล็กตรอนหลุดออกและส่งผ่านไปยังตัวรับอิเล็กตรอนอื่น ๆ ไปยังตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดท้ายคือ
ferredoxin (Fdx) เพื่อนำไปใช้ในการสร้าง NADPH ต่อไป บางส่วนได้รับกลับคืนจากการที่อิเล็กตรอนที่หลุดออกไปวนย้อนกลับคืนมาจากระบบแสง
I อิเล็กตรอนอีกส่วนได้รับมาจากระบบแสง II
หรือ P680 ดังรายละเอียดเพิ่มเติมในรูป 2.6
ในทำนองเดียวกันที่ศูนย์เกิดปฏิกิริยาของระบบแสง
I จะได้รับพลังงานแสงที่ถ่ายทอดกันมาจากคลอโรฟิลล์ที่อยู่รอบข้าง เมื่อมีพลังงานพอเหมาะ
(ความยาวคลื่นของแสงพอเหมาะ) อิเล็กตรอนจากคลอโรฟิลล์ของระบบแสง I
จะหลุดออกไป (แต่ในที่นี้ไม่มีการแตกตัวของน้ำ) โดยมีศักยภาพในการรีดิวซ์สูงกว่าของอิเล็กตรอนที่ถูกกระตุ้นจากระบบแสง
II และไหลไปยังตัวพาอิเล็กตรอนอื่นๆ
กล่าวคือ เราสามารถสร้างมาตราเป็นหน่วยศักย์ไฟฟ้า
เป็น electron volt (eV) ว่าสารประเภทใด (ในบางลักษณะ)
มีค่าต่ำกว่าหรือติดลบมากกว่า จะสามารถรีดิวซ์สารที่มีค่า eV สูงหรือติดลบน้อยกว่า
กล่าวได้อีกอย่างว่า
สารที่มี eV ติดลบมากกว่าหรือมีค่าน้อยกว่า จะส่งอิเล็กตรอนไปยังสารที่มีค่า
eV ที่ติดลบน้อยกว่าหรือมีค่า eV สูงกว่า (อิเล็กตรอนจะไหลจากสารที่มีค่า
eV ต่ำไปยังสารที่มีค่า eV สูงกว่า)
สังเกตได้ว่าในการแสดงการไหลของอิเล็กตรอนที่มีการกำกับค่า
eV กับเส้นทางไหลของอิเล็กตรอนในระบบแสง II อิเล็กตรอนที่ถูกกระตุ้น จะมีค่า
eV ติดลบมากกว่าในระบบแสง I จึงทำให้รูปนี้มีลักษณะเป็นรูปตัว Z ตะแคงข้างหรือเป็น
ตัว N ในกรณีนี้ ขอให้เข้าใจว่าสเกลตามแนวตั้งเป็นค่า electron volt ของศักยภาพในการรีดิวซ์
ไม่ใช่ความสูงที่อิเล็กตรอนกระโดดได้ และส่วนบนแสดงถึงสารที่มีความสามารถทำการรีดิวซ์ได้ดีกว่าส่วนล่าง
คือส่งอิเล็กตรอนให้ได้ดีกว่า หรือให้อิเล็กตรอนไหลไปได้ดีกว่า ฉะนั้นก่อนที่จะได้รับแสง
อิเล็กตรอนในระบบแสง I และ II จะอยู่ต่ำมาก พอได้รับแสงที่มีควันตัมพอเหมาะจะถูกกระตุ้นให้เกิดความสามารถในการรีดิวซ์ได้ดีขึ้นมาก
จึงขึ้นไปอยู่ที่ส่วนสูงของรูป ( ดังแสดงในรูปที่ 2.6 )
รูปที่
2.6
ศักยภาพในการรีดิวซ์ของอิเล็กตรอนที่ถูกกระตุ้นในระบบแสง
I และ II (ผังรูป
Z) ลูกศรเล็กแสดงถึงทิศทางการไหลของอิเล็กตรอน
ลูกศรใหญ่แสดงถึงทิศทางการเปลี่ยนศักย์ของอิเล็กตรอน
จะเห็นว่าแสงทำให้อิเล็กตรอนที่ถูกกระตุ้นมีความสามารถในการรีดิวซ์ดีขึ้นทั้ง
2 ระบบ โดยที่ในระบบแสง II
อิเล็กตรอนที่ถูกกระตุ้นจะมีความสามารถในการรีดิวซ์ดีกว่าในระบบแสง
I
พลังงานที่มากับแสงอาทิตย์
นอกจากได้ใช้ในการทำให้โมเลกุลของน้ำแตกตัวเป็น ออกซิเจน และ โปรตอน แล้ว
ยังทำให้อิเล็กตรอนของระบบแสง I และ II มีพลังงานสูงขึ้นและมีศักยภาพในการรีดิวซ์สูงขึ้นด้วย
อิเล็กตรอนเหล่านี้มีพลังงานสูงจนสามารถหลุดจากวงโคจรรอบโมเลกุลของคลอโรฟิลล์ในระบบแสงทั้งสองนี้ไปยังโมเลกุลอื่นที่อยู่บนเยื่อหุ้มไทลาคอยด์ที่อยู่ใกล้กับคลอโรฟิลล์ได้
ขณะที่มีการสังเคราะห์ด้วยแสงโดยปกติ
จะมีอิเล็กตรอนที่ไหลจากระบบแสง II ผ่านลูกโซ่ของการเคลื่อนย้ายอิเล็กตรอน
(electron transport chain) มาแทนที่อิเล็กตรอนที่หลุดออกไปจากระบบแสง I
หรือในบางครั้ง อิเล็กตรอนอื่นๆ ที่หลุดไปจากระบบแสง I จะไหลวนกลับมาแทนที่อิเล็กตรอนที่เพิ่งหลุดออกไปจากระบบแสง
I ก็ได้ (ดังแสดงในรูปที่ 2.7)
รูปที่
2.7
การแทนที่อิเล็กตรอนจากระบบแสง II ไปยังระบบแสง
I เริ่มจากการที่โมเลกุลของน้ำแตกออกจนกระทั่งถึงการรีดิวซ์ NADP+เป็น NADPH
การปั๊มโปรตอนจากระบบไซโตโครม
b6/f ของระบบแสง II และการไหลเป็นวัฎจักรของระบบแสง
I ดังได้กล่าวมาแล้ว
โปรตอนที่เข้มข้นมากกว่าในลูเมน จะพยายามไหลไปเกิดความสมดุลกับสโตรมา
การไหลกลับนี้จะทำให้เกิดพลังงานอิสระ
ซึ่งจะนำมาใช้ได้บนเยื่อหุ้มไทลาคอยด์ซึ่งมีเครื่องจักรระดับโมเลกุลชื่อ
ATP synthase ซึ่ง สามารถใช้พลังงานจากการไหลกลับของโปรตอนมาสร้าง
ATP จาก ADP และ Pi
ดังรูปที่ 2.9
รูปที่
2.9
แสดงการเคลื่อนของโปรตอนจากลูเมนกลับไปยังสโตรมาอีกครั้งหนึ่ง
ด้วยแรงดันความเข้มข้นของโปรตอนในลูเมนที่สูงกว่าในสโตรมา ( โดยที่โปรตอนบางส่วนถูกปั๊มจากสโตรมาไปยังลูเมนก่อน
) พลังงานอิสระที่ได้จากการไหลกลับของโปรตอนนำไปสร้าง ATP
จาก ADP ในสโตรมา
ภาพรวมของการรับพลังงานแสงของระบบแสง
II และ I ขณะทำงานร่วมกัน ได้แสดงไว้ในรูปที่ 2.10 สรุปได้ว่า พลังงานจากปฏิกิริยาใช้แสง
ซึ่งทำให้เกิดการไหลของอิเล็กตรอน เริ่มต้นจากคลอโรฟิลล์ได้นำไปใช้สร้าง
NADPHจากการไหลของอิเล็กตรอนในระบบแสง
I และสร้าง ATP
จากการไหลของโปรตอนจากลูเมนกลับไปยังสโตรมา โดยที่โปรตอนถูกสะสมมากในลูเมน
เนื่องจากการไหลของอิเล็กตรอนจากคลอโรฟิลล์ในระบบแสง II
เป็นส่วนใหญ่
รูปที่
2.10
สรุปภาพรวมของการรับพลังงานแสงของระบบแสง
II และ I ขณะที่ทำงานร่วมกัน ภาพนี้แสดงถึงการส่งและรับอิเล็กตรอน
เริ่มจากการที่โมเลกุลของน้ำแตกตัวให้อิเล็กตรอนไหลผ่านตัวรับส่งอิเล็กตรอนบนเยื่อหุ้มไทลาคอยด์
จนกระทั่งถึงการรีดิวซ์ NADP +
ให้เป็น NADPH และได้แสดงถึงการสะสมโปรตอนในลูเมนจากการแตกตัวของน้ำ
และการปั๊มโปรตอนเข้ามาในลูเมนรวมถึงการไหลกลับของโปรตอนผ่านโมเลกุลใหญ่ที่สร้าง
ATP (ATP synthase) การแตกตัวของน้ำนี้จะทำให้เกิดก๊าซออกซิเจนซึ่งจะถูกปล่อยออกมาจากลูเมนไปยังส่วนอื่นของเซลล์
ที่ศูนย์การเกิดปฎิกิริยาของระบบแสง
II หรือ P680 ได้รับพลังงานจากแสง
ทำให้อิเล็กตรอนหลุดออก และน้ำจะถูกทำให้แตกตัว ปล่อยอิเล็กตรอนออกมา และเคลื่อนที่ไปทดแทนอิเล็กตรอนที่หลุดออกไปจากระบบแสง
II หรือ P680 ในขั้นตอนนี้จะมีการส่งผ่านอิเล็กตรอนไปยังระบบพลาสโตคิวนอล
และไซโตโครม b6/f เพื่อส่งให้ระบบแสง I หรือ P700
ต่อไป
ในการทำงานของระบบแสง
I มีดังแสดงในรูปที่
2.12 ขั้นตอนนี้ P700 จะได้รับพลังงานจากแสง ทำให้อิเล็กตรอนหลุดออก
มีการสร้าง NADPH และ ATP ส่วนอิเล็กตรอนที่สูญเสียไป
บางส่วนได้รับกลับคืนจากการที่อิเล็กตรอนที่หลุดออกไปวนย้อนกลับคืนมาจากระบบแสง
I อีกส่วนได้รับมาจากระบบแสง II
ระบบแสง
I เป็นส่วนที่ทำหน้าที่สังเคราะห์ NADPH
เพื่อนำไปใช้ในปฏิกิริยาที่ไม่ต้องใช้แสง โดย อิเล็กตรอนจาก P700 จะได้รับพลังงานจาก
โฟตอนในแสงแดด มาทำให้เคลื่อนที่ออกไปยังสโตรมา แล้วรีดิวซ์ NADP+
ให้กลายเป็น NADPH ส่วน P700 ที่สูญเสียอิเล็กตรอนไปก็ได้รับทดแทนมาจาก ระบบแสง
II หรือ P680 (คลิกปุ่ม play เพื่อดูรายละเอียด)
รูปที่ 2.12 ภาพเคลื่อนไหวแสดงการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนและโปรตอนในระบบแสง
I
แสดงการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนจากระบบแสง I
ออกไปสู่ สโตรมา อิเล็กตรอนที่สูญเสียไป ได้รับทดแทน
มาจากระบบแสง II
รูปที่ 2.13 ภาพเคลื่อนไหวแสดงการเคลื่อนที่ของโปรตอนเพื่อช่วยสร้าง
ATP ใน ATP synthase
ระบบไซโตโครมจะใช้การเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนปั๊มโปรตอนจากสโตรมาไปยังลูเมน
เมื่อมีการสะสมโปรตอนเนื่องจากการปั๊มเข้ามาในลูเมนจนมีความเข้มข้นสูงกว่าในสโตรมา
ทำให้ลูเมนมีศักย์ทางเคมี (
ความเข้มข้นของโปรตอนสูง ) และศักย์ทางไฟฟ้าสูงกว่าสโตรมา
เมื่อโปรตอนไหลคืนจากลูเมนกลับไปยังสโตรมา ผ่านเครื่องจักรโมเลกุลที่เรียกว่า
ATP synthase
จะมีการคายพลังงานเพื่อสร้าง
ATP จาก
ADP + Pi จำนวนมาก (รูปที่ 2.13)
ATP
นี้เป็นตัวสะสมพลังงานทางเคมีที่ได้จากการไหลกลับของโปรตอน ซึ่งได้สะสมอยู่ในลูเมน
อันเนื่องมาจากการที่อิเล็กตรอนไหลผ่านระบบไซโตโครมและระบบพลาสโตคิวนอลโดยการดูดกลืนพลังงานแสงอาทิตย์
ATP
ที่ได้นี้นำไปใช้ใน กระบวนการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ในวัฎจักรคัลวิน (Calvin
cycle) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ไม่ต้องใช้แสง
รูปที่
2.14
สรุปภาพรวมของการรับพลังงานแสงของระบบแสง
II และ I ขณะที่ทำงานร่วมกัน ภาพนี้แสดงถึงการส่งและรับอิเล็กตรอน
เริ่มจากการที่โมเลกุลของน้ำแตกตัวให้อิเล็กตรอนไหลผ่านตัวรับส่งอิเล็กตรอนบนเยื่อหุ้มไทลาคอยด์
จนกระทั่งถึงการรีดิวซ์ NADP +
ให้เป็น NADPH และได้แสดงถึงการสะสมโปรตอนในลูเมนจากการแตกตัวของน้ำ
และการปั๊มโปรตอนเข้ามาในลูเมนรวมถึงการไหลกลับของโปรตอนผ่านโมเลกุลใหญ่ที่สร้าง
ATP (ATP synthase) การแตกตัวของน้ำนี้จะทำให้เกิดก๊าซออกซิเจนซึ่งจะถูกปล่อยออกมาจากลูเมนไปยังส่วนอื่นของเซลล์