|
หน้าที่ของการหายใจคือการนำออกซิเจนจากสิ่งแวดล้อม
คือ อากาศ และน้ำ
ไปให้เซลล์ และนำคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากเซลล์ หรือถ้าจะกล่าวในแง่ของเมแทบอลิซึม
เซลล์จะใช้กระบวนการหายใจ เพื่อเผาผลาญสารอาหาร ให้เกิดพลังงานในสิ่งมีชีวิต
เพื่อ
นำไปใช้ทำกิจกรรมต่างๆ ในการดำรงชีพ กระบวนการหายใจของสัตว์ชั้นสูง
แบ่งเป็น 2 ขั้นตอน
ตามหลักสรีรวิทยา คือ
|
การหายใจภายนอกเซลล์ (external respiration
หรือ breathing)
การหายใจภายในเซลล์ (internal respiration หรือ
cellular respiration)
|
|
รูปที่
1.1 |
ความสัมพันธ์ระหว่างการหายใจภายนอกและภายในเซลล์
แสดงให้เห็นถึง
บทบาทของการแลกเปลี่ยนแก๊สต่อการสร้างพลังงานของเซลล์
|
|
การหายใจภายนอกเซลล์
:
เป็นการนำอากาศเข้าสู่เซลล์หรือร่างกายและเกิดการแลกเปลี่ยนแก๊ส
ระหว่างสิ่งแวดล้อมกับอวัยวะที่ใช้หายใจ เช่น ปอด เหงือก ผิวหนัง
ท่อลมของแมลง
ปากใบของพืช เป็นต้น
|
การหายใจภายในเซลล์
: เป็นขั้นตอนของการสลายสารอาหารซึ่งมีปฏิกิริยาเคมีเกี่ยวข้องมากมาย
ปฏิกิริยาหลาย
ขั้นตอนเกิดขึ้นโดยไม่ได้ใช้ออกซิเจน แต่ออกซิเจนเป็นตัวช่วยในการออกซิเดชัน
(oxidation)
ขั้นสุดท้าย
|
สิ่งมีชีวิตบางชนิดไม่จำเป็นต้องมีกระบวนการหายใจครบทั้งสองอย่าง
อาจมีแค่ขั้นตอน
การหายใจภายในเซลล์เท่านั้น ดังที่พบในสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว เช่น
โปรโตซัว สาหร่ายเซลล์เดียว
และจุลินทรีย์ เป็นต้น
ในบทนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการหายใจภายนอก
หรือที่เรียกกันว่า การแลกเปลี่ยน
แก๊ส ส่วนเรื่องของการหายใจภายในเซลล์ หรือบางครั้งเรียกว่าการหายใจระดับเซลล์
(cellular
respiration) จะได้กล่าวไว้ในบทที่ 2, 3 และ 4
|
|
:
ออกซิเจนถูกนำไปใช้ในขั้นตอนใดของการหายใจ
: ปริมาณของออกซิเจนในน้ำและอากาศมีเท่ากันหรือไม่
|
|
|
การนำแก๊สเข้าไปให้เนื้อเยื่อ
ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ
ขั้นแรก : เป็นการนำแก๊สจากสิ่งแวดล้อมเข้ามาให้สิ่งมีชีวิต
(ventilation) ขั้นที่สอง
: เป็นการแลกเปลี่ยนแก๊สผ่านเยื่อ (exchange) ขั้นที่สาม
: เป็นการลำเลียงออกซิเจน จากพื้นที่หายใจเข้าไปให้เนื้อเยื่อ
(transport)
|
เนื้อหาส่วนใหญ่ในหัวข้อนี้
จะเน้นไปที่โครงสร้างของการแลกเปลี่ยนแก๊ส เพราะเป็น
สิ่งที่สำคัญในการนำเอาออกซิเจนจากสิ่งแวดล้อมไปใช้ในการสร้างพลังงาน
(หรือการหายใจระดับเซลล์)
และขับคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา |
สิ่งแวดล้อมในที่นี้
อาจเป็นอากาศ หรือ น้ำ ซึ่งออกซิเจนเป็นส่วนผสมอยู่ในอากาศ
(ประมาณ 21%) และละลายอยู่ในน้ำ (ประมาณ 1%)
|
การแลกเปลี่ยนแก๊ส
ต้องทำผ่านพื้นที่หายใจ (respiratory surface) ที่มีลักษณะเป็นเยื่อบางๆ
เพื่อให้แก๊สซึมผ่านเข้า-ออกได้ และพื้นที่นี้จะต้องมีลักษณะเปียกชื้น
โครงสร้างที่ใช้แลกเปลี่ยนแก๊ส
ในสิ่งมีชีวิตนี้ได้มีการพัฒนาระหว่างวิวัฒนาการ ดังจะเห็นได้ว่า พวกสัตว์น้ำส่วนใหญ่จะใช้เหงือก
สัตว์บกจะใช้ปอด หรือ ท่อลม โครงสร้างที่ใช้แลกเปลี่ยนแก๊สนี้อาจแบ่งได้เป็น
4 ประเภท ดังต่อไปนี้
|
1.
ผิวของร่าง (body surface)
มักใช้ในสัตว์เล็กๆ
ที่มีสัดส่วนของพื้นที่ต่อปริมาตรสูง (เช่น ขนาดตัวเล็ก และยาว หรือแบน)
ซึ่งใช้ผิวหนังทั่วร่างเป็นพื้นที่หายใจ ดังที่พบในโปรโตซัว ฟองน้ำ
พยาธิตัวแบน ไส้เดือน เป็นต้น สัตว์เหล่า
นี้มีผิวหนังที่ประกอบด้วยเซลล์จำนวนไม่มาก มีลักษณะบาง ทำให้แก๊สสามารถแพร่ผ่านเข้าออกได้ง่าย
ออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์แพร่ผ่านเข้า-ออกได้โดยตรงไม่ต้องอาศัยระบบทางเดินหายใจ
สัตว์จำพวก สะเทินน้ำสะเทินบก (amphibians) ได้ออกซิเจน ประมาณ 25%
จากทางผิวหนัง
สัตว์พวกนี้จะต้องมีผิวหนังที่เปียกชื้น จึงจะสามารถเกิดการแลกเปลี่ยนแก๊สได้
ดังนั้นจึงต้องอาศัยอยู่ในน้ำ
หรือที่เปียกชื้น
|
รูปที่
1.2 |
สัตว์ที่ใช้ผิวของร่าง
สำหรับแลกเปลี่ยนแก๊ส
|
|
2.
เหงือก (gill) เป็นพื้นที่หายใจของสัตว์น้ำหลายประเภทตั้งแต่สัตว์ใหญ่
เช่น ปลา ไปจนถึง กุ้ง หอย ปลาดาว
หนอนทะเล เป็นต้น เหงือกเป็นโครงสร้างคล้ายขนนกที่ยื่นออกมานอกตัวเข้าไปในน้ำ
เพื่อใช้ในการ
แลกเปลี่ยนแก๊สออกซิเจนที่ละลายอยู่ในน้ำ เหงือกปลามีเนื้อเยื่อที่ลักษณะคล้ายขนนกที่พับไปมา
เรียงตัวกันเป็นแผง ภายในประกอบด้วยเส้นเลือดฝอยจำนวนมาก ขณะที่ปลาว่ายน้ำออกซิเจนปริมาณน้อย
ที่ละลายอยู่ในน้ำจะแพร่ผ่านผนังของเส้นเลือดฝอยเหล่านี้แล้วไหลเวียนไปตามระบบหมุนเวียนเลือด
โครงสร้างของเหงือกนั้นมีลักษณะแตกต่างกันตามสปีิชีส์ ดังตัวอย่างในรูปที่
1.3 |
รูปที่
1.3 |
ลักษณะที่ต่างกันออกไปของเหงือกของสัตว์น้ำต่างชนิด
|
|
รูปที่
1.4 |
โครงสร้างและหน้าที่ของเหงือกปลา
|
|
ปลาจะปั๊มน้ำผ่านปากเข้าไปที่เหงือก
(ถ้าเป็นปลาที่กำลังว่ายน้ำ น้ำจะผ่านเข้าเหงือกเอง)
ในแต่ละแกนกระดูกที่ค้ำเหงือก จะมีแผงเหงือก 2 แถว ซึ่งประกอบด้วย
แผ่นบางๆ (lamella)
เมื่อน้ำไหลผ่าน lamella เลือดที่ไหลผ่านไปตามเส้นเลือดฝอยใน lamella
จะดึงออกซิเจนจากน้ำ
ให้สังเกตว่า เลือดจะไหลในทิศทางที่ตรงข้ามกับของน้ำที่ผ่าน lamella
ทั้งนี้เพื่อช่วยในการดูดเอา
ออกซิเจนมาจากน้ำได้ในรูปที่ 1.4 อย่างมีประสิทธิภาพ
ประสิทธิภาพในการดึงเอาออกซิเจนจากน้ำ
จะสูงได้ถึง 80% ถ้าทิศทางการไหลของน้ำผ่านใน
lamella และทิศทางของเลือดที่ไหลในเส้นเลือดฝอยที่เหงือก เป็นแบบสวนทางกัน
(โปรดคลิก
เพื่อดูรายละเอียด)
|
|
: สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในทะเลลึก หายใจโดยวิธีใด ได้ออกซิเจนมาจากไหน
|
|
3.
ท่อลม (trachea)
พบในแมลง
ท่อลมขนาดใหญ่จะอยู่บริเวณกลางลำตัวแล้วแตกแขนงเป็นท่อขนาดเล็ก
ขนาดฝอย แทรกไปตามเซลล์ในเนื้อเยื่อแทบทุกเซลล์ ปลายสุดของแต่ละท่อลมเปิดออกทางด้าน
ข้างของลำตัว เป็นช่องสำหรับให้อากาศผ่านเข้าออกโดยตรง ซึ่งการแลกเปลี่ยนแก๊ส
เกิดขึ้นโดย
การซึมผ่าน epithelium ที่บุส่วนปลายสุดของระบบท่อลม ออกซิเจนสามารถซึมเข้าไปในเซลล์
ได้โดยตรง
|
รูปที่
1.5 |
ระบบท่อลมของแมลง
|
|
รูปที่
1.6 |
ภาพถ่ายด้วยกล้องจุลทรรศน์
แสดงให้เห็นถึงการแตกแขนง
ของท่อลมเป็นแขนงเล็กๆ ไปทั่วเนื้อเยื่อ
|
|
4.
ปอด (lung)
พบในสัตว์มีกระดูกสันหลังที่อยู่บนบกทั่วไป
อากาศจากภายนอกจะผ่านเข้าทางรูจมูก
ผ่านหลอดลมเข้าสู่ปอด ภายในปอด อากาศจะเข้าไปยังถุงลมเล็กๆ ที่กระจายอยู่ทั่วไป
รอบๆ
ถุงลงเหล่านี้ มีเส้นเลือดฝอยมาล้อมรอบ ในเม็ดเลือดแดงมีฮีโมโกลบินซึ่งเป็นรงควัตถุที่เกี่ยว
ข้องกับการหายใจ (respiratory pigment) ทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนจากถุงลมที่แพร่ผ่าน
เข้าไปในกระแสเลือดไปยังเซลล์ทั่วร่างกาย เพื่อช่วยในการสร้างพลังงานและในการนี้จะปล่อย
คาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นของเสียออกนอกเซลล์และนอกร่างกาย (ดูรายละเอียดของการแลก
เปลี่ยนแก๊สโดยใช้ปอดในหัวข้อต่อไป)
|
รูปที่
1.7 |
รูปวาดของส่วนหนึ่งของกลีบปอด
ขยายให้เห็นถึงถุงลม และ
เส้นเลือดฝอยที่ล้อมรอบถุงลม เพื่อปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์
ออกไป และรับออกซิเจนเข้ามา
|
|
|
|
: การหายใจโดยใช้ปอด และท่อลมต่างกันอย่างไร
|
|
|
การหายใจของสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังต้องใช้การทำงานของระบบอย่างน้อย
4 ระบบ คือ |
1.
ระบบทางเดินหายใจ (respiratory system)
เป็นระบบที่ประกอบด้วยอวัยวะหลายอย่างทำหน้าที่ร่วมกันนำออกซิเจนเข้าสู่เซลล์
เพื่อเกิดการเผาพลาญให้ได้พลังงานและขับคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากเซลล์ |
2.
ระบบกล้ามเนื้อ (muscular system) |
ช่วยในการหดตัวและคลายตัวของอวัยวะที่ทำหน้าที่หายใจ |
3.
ระบบไหลเวียนเลือด (circulartory system)
ประกอบไปด้วยหัวใจ เส้นเลือดแดง เส้นเลือดดำ เส้นเลือดฝอย
เพื่อนำออกซิเจน
และคาร์บอนไดออกไซด์ไปทั่วร่างกาย |
4. ระบบประสาทอัตโนมัติ
(autonomic nervous system)
ทำหน้าที่ควบคุมกลไกการหายใจในร่างกาย ศูนย์การหายใจ (respiratory
center)
ในสมอง |
ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นระบบทางเดินหายใจของคนซึ่งประกอบไปด้วย
|
1.
รูจมูก (nostril) และ โพรงจมูก (nasal cavity)
|
จมูกมี 2 ซีก ซ้าย-ขวา มีกระดูกอ่อน เป็นแผ่นเรียบ
กั้นกลางมักโค้งไปด้านใดด้านหนึ่งอยู่เสมอ ผนังด้านข้าง
จะมีกระดูกยื่นออกมา 3 ชิ้น กระดูกเหล่านี้จะหุ้มด้วย
เยื่อหุ้มกระดูก ซึ่งมีขนอยู่ด้วย ทำหน้าที่ขับน้ำมูกออกมา
เมื่อมีการติดเชื้อก็จะขับเมือกออกมา ในขณะเดียวกันขน
จะพัดพาเมือกที่จับเชื้อออกสู่ภายนอก |
|
2. คอหอย (pharynx)
|
|
มีลักษณะเป็นท่อที่บุด้วยกล้ามเนื้อเรียบ ต่อระหว่างจมูกกับหลอดอาหาร
|
3.
กล่องเสียง (larynx) |
|
ลักษณะเป็นแผ่น 2 แผ่น เชื่อมประกบทำมุมกันเป็นชั้นเดียว
ในผู้ชายมีลักษณะแหลมยื่นออกมาเรียกว่า ลูกกระเดือก
(Adam's apple) ในผู้หญิงมีลักษณะป้านเรียบมองเห็นไม่ชัด
เรียกว่า epiglottis เป็นกระดูกอ่อนรูปร่างคล้ายใบไม้
ด้านหน้าเป็นช่องเปิดเข้าสู่กล่องเสียง ในขณะกลืนอาหาร
กล่องเสียงจะเลื่อนขึ้นข้างบนและข้างหน้า ส่วนปลาย ของ
epiglottis จะเลื่อนลงมาปิดกล่องเสียงไม่ให้อากาศ
เข้าสู่กล่องเสียงได้ หน้าที่ของกล่องเสียง (larynx)
คือ เป็นทางผ่านเข้าออกของอากาศ และทำให้เกิดเสียง |
|
4.
หลอดลม (trachea)
|
|
ลักษณะเป็นวงแหวนกระดูกอ่อน รูปตัว c โดยกระดูกอ่อน
จะอยู่ทางด้านหน้า ส่วนด้านหลังเป็นกล้ามเนื้อเรียบ
หลอดลมของคนมีความยาวประมาณ 10 ซม. แล้วแยกเป็น
ขั้วปอด (bronchus) 2 ข้าง |
|
5.
ขั้วปอด (bronchus)
|
|
แยกเป็นข้างขวาและข้างซ้ายในคน ขั้วปอดข้างขวา
จะลาดกว่า ดังนั้นเวลาสำลักสิ่งแปลกปลอมจะทำให้
สิ่งแปลกปลอม มีโอกาสตกลงทางด้านขวาได้ ปอดข้างขวา
จึงเป็นโรคได้มากกว่าด้านซ้าย |
|
6.
ปอด (lung) และแขนงขั้วปอด (bronchiole)
|
|
ตั้งอยู่ในทรวงอก ปอดข้างขวามี 3 กลีบ ข้างซ้ายมี 2 กลีบ
ขั้วปอด ประกอบด้วยถุงลมและเส้นเลือดมากมาย ได้แก่
bronchial artery, pulmonary artery ,bronchial vein
และ pulmonary vein ปริมาณเลือดที่เข้าออกปอดใน
แต่ละครั้งมีประมาณ 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร |
|
7.
ถุงลมเล็กๆ ในปอด (alveolus หรือ air sac)
|
|
ถุงลมเล็กๆ ในปอด มีเส้นเลือดฝอย (capillaries)
ล้อมรอบทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนออกซิเจน
และคาร์บอนไดออกไซด์ อย่างมีประสิทธิภาพ
|
|
ภาพรวมของระบบทางเดินหายใจได้แสดงไว้ในรูปข้างล่างนี้
|
รูปที่
1.8 |
ภาพรวมของระบบทางเดินหายใจ
|
|
การหายใจเข้าและหายใจออก
เป็นการนำแก๊สเข้า-ออกในสิ่งมีชีวิตหรือที่เรียกว่า ventilation
การหายใจเข้า จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อความดันอากาศในถุงลมน้อยกว่าความดันบรรยากาศปกติ
ส่วนการหายใจออก จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อความดันอากาศในถุงลมสูงกว่าความดันบรรยากาศปกติ
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหายใจเข้าโดยการทำให้ปริมาตรของช่องอกขยายเพิ่มขึ้น
ทำให้ปอด
ขยายตัวใหญ่ขึ้นด้วย ซึ่งเป็นการทำให้ความดันอากาศในถุงลมลดลง เกิดความแตกต่างของความดัน
อากาศ ส่งผลให้อากาศไหลเข้าในปอด
การขยายตัวของช่องอก
เกิดขึ้นจากการทำงาน (เคลื่อนที่) ร่วมกันระหว่างกระบังลม
(diaphragm) และผนังทรวงอก (rib cage) คือกระดูกซี่โครงที่ต่อกับกระดูกสันหลังโค้งมายึดกับ
กระดูกหน้าอก (sternum) การเคลื่อนที่ของกระดูกซี่โครงและกระดูกหน้าอกเกิดขึ้นได้
โดยการทำงานของกล้ามเนื้อซี่โครงแถบนอกและแถบใน
ระหว่างการหายใจเข้า
กล้ามเนื้อซี่โครงแถบนอกจะหดตัว (แถบในคลายตัว) กระดูกซี่โครง
และกระดูกหน้าอกถูกยกตัวสูงขึ้น ในขณะเดียวกันกระบังลมก็หดตัวด้วยและเคลื่อนที่ต่ำลง
(ดังแสดงในรูปที่ 1.9) ซึ่งทำให้ปริมาตรของช่องอกขยายเพิ่มขึ้น และดึงอากาศเข้าไปในปอด
|
การหายใจออกเกิดขึ้นโดยกลไกที่ตรงกันข้ามกับการหายใจเข้า
กล่าวคือ
การขยายตัวของช่องอกระหว่างการหายใจเข้า
ทำให้เนื้อเยื่อของช่องอกและปอดยืดออก
ซึ่งจะกลับคืนสู่สภาพเดิมระหว่างการหายใจออก กระบังลมก็จะกลับไปสู่สภาพคลายตัว
กล้ามเนื้อ
ซี่โครงแถบนอกจะคลายตัว (แถบในหดตัว) ส่งผลให้กระดูกซี่โครงและกระดูกหน้าอกลดระดับต่ำลง
และกระบังลมโค้งเข้าไปในช่องอก ปริมาตรของช่องอกเล็กลง ปอดแฟบลง
ความดันในถุงลมเพิ่มขึ้น
อากาศจึงไหลออกปอดไปได้
|
รูปที่
1.9 |
ภาพเคลื่อนไหวแสดงการเคลื่อนที่ของกระดูกซี่โครง
กระดูกหน้าอก และกระบังลมที่ทำให้เกิดการนำเอา
อากาศเข้า-ออกของปอด (ventilation)
|
|
จากภาพ
: |
เมื่อมีการหายใจเข้า
:กระดูกหน้าอกยกตัวสูงขึ้น กระดูกซี่โครง
ยกตัวสูงขึ้น กระบังลมเคลื่อนที่ต่ำลง ปริมาตรช่องอกเพิ่มขึ้น |
จากภาพ
: |
เมื่อมีการหายใจออก :กระดูกหน้าอกลดตัวต่ำลง
กระดูกซี่โครง
ลดตัวต่ำลง กระบังลมยกตัวสูงขึ้น ปริมาตรช่องอกลดลง |
โดยสรุป
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หายใจโดยการเปลี่ยนแปลงของความดันอากาศในปอด
เทียบกับความดันบรรยากาศ ระหว่างหายใจเข้า กล้ามเนื้อซี่โครงแถบนอกและกระบังลมหดตัว
ทำให้ปริมาตรของช่องอกและปอดเพิ่มขึ้น ความดันอากาศในปอดน้อยกว่าความดันบรรยากาศ
อากาศจึงไหลเข้าปอด การหายใจออกเกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อแถบนอกของซี่โครง
และของกระบังลม
คลายตัว ทำให้ปริมาตรในช่องอกลดลงกลับไปสู่สภาพเดิม
|
|
: กระดูกซี่โครงและกระบังลมเกี่ยวข้องกับการหายใจเข้าและหายใจออกอย่างไร
|
|
การควบคุมการหายใจ อัตราหายใจตามปกติจะเป็น
10 14 ครั้งต่อนาที ซึ่งสัมพันธ์กับความต้องการออกซิเจน
ในร่างกาย และความต้องการขับคาร์บอนไดออกไซด์ออก
กลไกการหายใจถูกควบคุมด้วยศูนย์ควบคุมการหายใจ
(respiratory center)
ในสมองส่วนเมดัลลาออบลองกาตา (medulla oblongata) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของ
กล้ามเนื้อกระบังลมและกล้ามเนื้อกระดูกซี่โครง สมองส่วนนี้จะถูกกระตุ้นโดยความเป็นกรดของเลือด
ที่ไหลผ่าน (เกิดจากแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ละลายน้ำได้กรดคาร์บอนิก)
ดังนั้นปัจจัยที่มีผล
ต่อการกำหนดอัตราการหายใจเข้าออก คือ คาร์บอนไดออกไซด์ ถ้าปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์
์ในเลือดมากจะมีผลทำให้เราต้องหายใจมากขึ้น เพื่อให้ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง
เข้าสู่สภาพปกติ การควบคุมดังกล่าวนี้จะเป็นทั้งความถี่ที่หายใจและความลึกของการหายใจ
|
|
การแลกเปลี่ยนแก๊สเป็นขั้นตอนที่สำคัญในกระบวนการหายใจ
เพราะเป็นขั้นที่จะรับออกซิเจน
จากสิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปให้เซลล์ต่างๆ เพื่อให้เกิดกระบวนการหายใจระดับเซลล์
และนำของเสียจาก
การออกซิเดชันของสารอาหารคือคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปสู่สิ่งแวดล้อม
เลือดเป็นตัวลำเลียงออกซิเจน
และคาร์บอนไดออกไซด์ระหว่างปอดและเนื้อเยื่อ (เซลล์) ทั่วร่าง
การแลกเปลี่ยนแก๊สเหล่านี้เกิดขึ้นระหว่างเลือดที่มาที่ถุงลมและอากาศในถุงลม
ดังแสดงในภาพที่ 1.10
ถุงลมทุกถุงจะมีีเส้นเลือดฝอยล้อมรอบ ในเม็ดเลือดแดงจะมีรงควัตถุที่จับออกซิเจนได้คือ
ฮีโมโกลบิน
ในเลือดที่ออกจากหัวใจมายังปอด จะมีคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณสูงและออกซิเจนปริมาณต่ำเมื่อเทียบ
กับอากาศในถุงลม
เมื่อมาถึงบริเวณถุงลม คาร์บอนไดออกไซด์จะซึมออกจากผนังเส้นเลือดฝอย
ผ่านผนัง
ของถุงลมออกไปผสมกับอากาศในถุงลม เพื่อถูกส่งออกไปนอกร่างกายในจังหวะที่หายใจออก
ในขณะ
เดียวกันออกซิเจนจากอากาศจะแพร่เข้าในเลือด ถูกจับโดยฮีโมโกลบิน
และถูกนำกลับไปที่หัวใจเพื่อสูบ
ฉีดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย
|
|
: ปริมาณออกซิเจนของอากาศในถุงลมจะลดลงต่ำมาก เพราะส่งให้เม็ดเลือดแดง
ไปเกือบหมด ใช่หรือไม่
: เม็ดเลือดแดงจับกับออกซิเจนได้อย่างไร
|
|
รูปที่
1.10 |
การแลกเปลี่ยนแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และออกซิเจนที่ถุงลม
โดยการแพร่ผ่านผนังบางๆ ของถุงลมและเส้นเลือดฝอย
|
|
การแลกเปลี่ยนแก๊สและการนำออกซิเจนไปส่งให้ในเซลล์
รวมทั้งการรับคาร์บอนไดออก
ไซด์จากเซลล์ไปยังปอดจะต้องอาศัยระบบไหลเวียนเลือด ซึ่งหัวใจมีบทบาทที่สำคัญในระบบนี้
ดังแสดงในรูปที่
1.11 ระบบไหลเวียนเลือดนำเลือดที่มีออกซิเจนต่ำและคาร์บอนไดออกไซด์
สูงจากเส้นเลือดดำใหญ่ 2 เส้น คือ superior vena cava และ inferior
vena cava ซึ่งรวมเลือด
ดำทั้งหมดจากส่วนบนและส่วนล่างของร่างกายเข้าสู่หัวใจห้องบนขวาแล้วส่งต่อไปยังห้องล่างขวา
แล้วจึงสูบออกจากหัวใจไปสู่ปอดทางเส้นเลือดที่ออกจากหัวใจไปยังปอด
(pulmonary artery)
ปอดก็จะรับเลือดที่มีออกซิเจนต่ำ เพื่อทำการแลกเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์กับออกซิเจนที่ปอด
ในระดับถุงลม โดยเลือดจะดูดออกซิเจนจากถุงลมและปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์์เข้าไปในปอด
เพื่อขับออกนอกร่างกายในจังหวะหายใจออก และเลือดที่มีออกซิเจนในปริมาณเข้มข้นสูงนี้จะไหล
จากปอดสู่หัวใจทางเส้นเลือดจากปอดเข้าหัวใจ (pulmonary vein) ทางห้องล่างซ้ายแล้วถูกส่ง
ออกจากห้องบนซ้ายไปสู่ส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
|
รูปที่
1.11 |
แสดงภาพของหัวใจของคนที่มองจากด้านหน้า
หัวใจมีบทบาทในการฟอกเลือด โดยการส่งเลือดที่มีคาร์บอนไดออกไซด์สูง
และออกซิเจนต่ำไปยังปอดและรับเลือดที่มีความเข้มข้นของออกซิเจนสูง
และคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำจากปอด
|
|
การนำแก๊สออกซิเจนไปให้เนื้อเยื่อและรับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์มายังปอดในสัตว์เลี้ยงลูก
ด้วยนมจะผ่านระบบไหลเวียนเลือด ดังแสดงในรูปที่ 1.12 ความเข้มข้นของแก๊สจะวัดในรูปของ
ความดันแก๊ส ซึ่งมีหน่วยเป็นมิลลิลิตรปรอท (mm Hg) ตัวอย่างเช่น อากาศที่หายใจเข้ามีออกซิเจน
21% ซึ่งคือ 0.21 x 760 มล.ปรอท หรือเท่ากับ 160 มล.ปรอท
รูปที่
1.12 แสดงให้เห็นความดันออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศที่หายใจเข้า
หายใจออก ในถุงลม ในเนื้อเยื่อ และในเลือดที่เข้าถุงลม ออกจากถุงลม
และเลือดที่ออกจากเนื้อเยื่อ
และที่มาเลี้ยงเนื้อเยื่อ จะเห็นได้ว่า ที่ๆ มีความดันออกซิเจนสูง
(และคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ)
คือ อากาศที่หายใจเข้า อากาศในถุงลม เลือดที่ออกจากถุงลมไปสู่หัวใจ
(เพราะผ่านการแลกเปลี่ยน
แก๊สมาแล้ว) และเลือดที่มาเลี้ยงเนื้อเยื่อ คือ มีความดันออกซิเจนเท่ากับ
160, 104 , 104 และ 100 มล.
ปรอท ตามลำดับ ส่วนที่ๆ มีออกซิเจนต่ำ คือ เซลล์ในเนื้อเยื่อ เลือดที่ออกจากเนื้อเยื่อ
เลือดที่ออก
จากหัวใจไปสู่ปอด เลือดที่ผ่านเข้าถุงลม คือประมาณ 40 มล.ปรอท ให้สังเกตว่าแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
์จะมีค่าความดันที่ต่างกับออกซิเจน คือ จะสูงในเนื้อเยื่อและเลือด
(ประมาณ 40-45 มล.ปรอท)
และต่ำในอากาศ (0.2 ในอากาศที่หายใจเข้า และ 27 ในอากาศที่หายใจออก)
|
รูปที่
1.12 |
ระบบไหลเวียนเลือด
เพื่อถ่ายเทเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออก
และรับออกซิเจนมาแทน ตัวเลขในกรอบแสดงค่าความเข้มข้น
หรือความดันออกซิเจนและความดันคาร์บอนไดออกไซด์
ในหน่วยมิลลิเมตรปรอท
|
|
|
: ให้ลองอธิบายขั้นตอนการแลกเปลี่ยนแก๊สตามรูป
1.12 จากหมายเลข 1 ถึง 6
|
|
ความสัมพันธ์ระหว่างปอดและหัวใจในการฟอกเลือด
อาจสรุปได้ดังที่แสดงไว้ในภาพที่ 1.13
หัวใจทางซีกขวาจะรับเลือดที่มีออกซิเจนต่ำ
(40 มล.ปรอท) และส่งไปยังปอด เกิดการแลก
เปลี่ยนแก๊สกับถุงลมที่มีความดันออกซิเจน 104 และความดันคาร์บอนไดออกไซด์
40 และส่งกลับ
เข้าหัวใจทางด้านซ้าย เพื่อส่งไปตามเส้นเลือดไปให้เนื้อเยื่อ เลือดที่เข้ามาที่เซลล์นี้มีความดันออก
ซิเจนประมาณ 100 และความดันคาร์บอนไดออกไซด์ 40 เซลล์นำออกซิเจนไปใช้เกิดเป็นคาร์บอน
ไดออกไซด์ ซึ่งจะถูกนำไปสู่หัวใจทางด้านขวาเพื่อส่งไปปอดต่อไป เกิดเป็นวัฏจักรเช่นนี้ตลอดไป
|
รูปที่
1.13 |
ความสัมพันธ์ระหว่างปอดและหัวใจในการฟอกเลือด
|
|
|
การที่ออกซิเจนจากถุงลมจะเข้ามาในเลือดนั้น
ถ้าเกิดขึ้นโดยการแพร่ตามปกติ
(simple diffusion) จากที่ความเข้มข้นสูงไปต่ำ ก็จะเกิดได้ในระดับหนึ่ง
ปริมาณออกซิเจน
ที่เข้ามาจะน้อยเกินไป ไม่พอใช้ ซึ่งในความเป็นจริงนั้นจะมีตัวรับออกซิเจน
(respiratory carrier)
คือ ฮีโมโกลบินซึ่งเป็นโปรตีนในเม็ดเลือดแดง ทำให้เลือดสามารถรับออกซิเจนได้เพิ่มขึ้นถึง
60 70 เท่า เมื่อเทียบกับการแพร่ธรรมดาโดยไม่มีฮีโมโกลบิน
ฮีโมโกลบิน
(hemoglobin) เป็นโปรตีนขนาดใหญ่ ประกอบ 4 หน่วยย่อย แต่ละหน่วยย่อย
ประกอบไปด้วยส่วนที่เป็นโปรตีน (โกลบิน) และส่วนที่เป็นฮีม (heme)
ส่วนที่เป็นฮีมมีเหล็ก
เป็นองค์ประกอบ และเหล็กนี้ทำหน้าที่จับออกซิเจนใน 1 โมเลกุลของฮีโมโกลบินประกอบด้วย
4 โกลบิน
และ 4 ฮีม แต่ละฮีมจะจับออกซิเจนได้ 2 อะตอม ดังแสดงในรูปที่ 1.14
|
รูปที่
1.14 |
ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงจับออกซิเจนที่แพร่มาจาก
ถุงลม นำไปส่งให้เซลล์ในเนื้อเยื่อต่างๆ
|
|
|
: ฮีโมโกลบิน 1 โมเลกุลจะจับออกซิเจนได้กี่โมเลกุล
ในคนที่เป็นโรคโลหิตจาง
จะรับออกซิเจนได้เท่าคนปกติหรือไม่ จงให้เหตุผล
: ฮีโมโกลบินส่งออกซิเจนให้แก่เนื้อเยื่อได้อย่างไร
|
|
|
การที่ฮีโมโกลบินจะจับกับออกซิเจนได้ดีเพียงใดขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของออกซิเจน
ถ้าความ
เข้มข้นของออกซิเจนต่ำ การจับกันก็จะน้อย ถ้าความเข้มข้นของออกซิเจนสูง
การจับกันก็จะยิ่งเพิ่มสูง
มากขึ้น ปรากฏการณ์์แบบนี้เรียกว่า cooperative binding ความสามารถในการจับกับออกซิเจน
ของฮีโมโกลบินนั้นวัดเป็นร้อยละของการอิ่มตัวของออกซิเจน ซึ่งเมื่อเขียนกราฟระหว่างค่านี้
กับค่า
ความดันออกซิเจน จะได้กราฟที่เป็นรูปตัว S ดังแสดงในรูปที่ 1.15
|
รูปที่
1.15 |
ความสัมพันธ์ระหว่างร้อยละของการอิ่มตัวของออกซิเจนใน
ฮีโมโกลบิน และความดันออกซิเจน (มิลลิเมตรปรอท)
|
|
จากรูป -
ฮีโมโกลบินจับกับออกซิเจนได้ดีที่ความเข้มข้นออกซิเจนสูง (100 มล.ปรอท)
คือที่ปอด
- ฮีโมโกลบินจับกับออกซิเจนได้ไม่ดีที่ความเข้มข้นออกซิเจนต่ำ
(30 มล.ปรอท) คือที่เนื้อเยื่อ
ที่เนื้อเยื่อประมาณ
40% ของออกซิเจนจะถูกใช้ไป (ที่เหลือเก็บไว้เป็นสำรองยามฉุกเฉิน)
เมื่อเซลล์ต้องการใช้ออกซิเจนมากขึ้น เช่นทำงานมากขึ้น ความดันออกซิเจนอาจลดลงได้ถึง
20
มล.ปรอท คือจะปล่อยออกซิเจนออกไปอีก 20% ซึ่งในขณะเดียวกันนี้เซลล์ก็จะมีสภาวะเป็นกรด
มากขึ้น สาเหตุทั้งจากมีคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นมากและอาจมีกรดแลกติกเพิ่มขึ้น
(เช่นในเซลล์
กล้ามเนื้อที่ทำงานหนัก ดูรายละเอียดในบทที่ 2) ซึ่งมีผลทำให้ฮีโมโกลบินให้ออกซิเจนแก่เซลล์ได้เพิ่มขึ้น
ค่าอิ่มตัวของออกซิเจนในฮีโมโกลบินนั้นจะเปลี่ยนไปตามค่า
pH ของเลือด ซึ่งจะลดต่ำลงเมื่อ
มีคาร์บอนไดออกไซด์ละลายอยู่ในรูปของกรดคาร์บอนิก ทำให้เส้นกราฟ
(รูปที่ 1.16) จะเลื่อนไปทาง
ขวาเล็กน้อย (ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Bohr
effect) หรือค่าร้อยละของการอิ่มตัวของออกซิเจนจะต่ำลง
หรืออีกนัยหนึ่งออกซิเจนจะหลุดออกจากฮีโมโกลบินง่ายขึ้น หมายถึงจะส่งออกซิเจนในเนื้อเยื่อได้ดีขึ้น
ดังแสดงในรูปที่ 1.16 ที่เปรียบเทียบค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนในฮีโมโกลบินที่
pH 7.4 และ 7.2
|
รูปที่
1.16 |
ผลของ
pH ต่อร้อยละของการอิ่มตัวของออกซิเจน
|
|
อย่างไรก็ตาม
เมื่อเลือดมาที่ปอดและปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป กรดคาร์บอนิกน้อยลง
ค่า pH ก็สูงขึ้น ฮีโมโกลบินจะจับออกซิเจนได้ดีขึ้น อีกประการหนึ่งความดันออกซิเจนที่ปอดจะสูงกว่า
ที่อื่นๆ ฉะนั้น ฮีโมโกลบินจึงจับออกซิเจนได้ดีที่สุดที่ปอด และต่ำที่สุดที่เนื้อเยื่อซึ่งมีความดันออกซิเจน
ต่ำกว่า และค่า pH ต่ำกว่าที่ปอดด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ ฮีโมโกลบินจึงเปรียบเหมือนพาหนะรับส่งออกซิ
เจนที่มีจุดรับและส่งที่ี่แน่นอน คือรับที่ปอดและส่งที่เนื้อเยื่อ
โดยอาศัยความแตกต่างของความสามารถ
ในการจับกับออกซิเจน
|
|
: ทำไม ฮีโมโกลบินในเนื้อเยื่อจึงจับกับออกซิเจนได้ไม่ดีเท่าในปอด
: คาร์บอนไดออกไซด์สามารถจับกับฮีโมโกลบินได้หรือไม่
|
|
|
รูปที่
1.17 |
ปฏิกิริยา์ขับคาร์บอนไดออกไซด์ในเม็ดเลือดแดง
|
|
คาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดถูกนำออกนอกร่างกายได้
3 วิธี คือ
1.
ฮีโมโกลบินจะจับกับคาร์บอนไดออกไซด์ได้บางส่วนโดยคาร์บอนไดออกไซด์จะทำปฏิกิริยา
กับหมู่อะมิโนของฮีโมโกลบินเกิดเป็น carbamino-hemoglobin ซึ่งไม่สามารถจับกับออกซิเจนได้
2.
คาร์บอนไดออกไซด์ส่วนใหญ่ละลายอยู่ในเลือดในรูปของไบคาร์บอเนต (HCO3-)
คาร์บอนไดออกไซด์จะแพร่เข้าในเม็ดเลือดแดง รวมกับน้ำเกิดเป็นกรดคาร์บอนิก
และกลายเป็นไบ
คาร์บอเนต โดยใช้เอนไซม์คาร์บอนิก แอนไฮเดรสเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
ดังในรูป 1.17 (ในกรณีนี้เกิด
H+ ซึ่งทำให้ pH ของเลือดลดลงดังที่กล่าวข้างต้น) สาเหตุนี้ทำให้เม็ดเลือดแดงสามารถดูดคาร์บอน
ไดออกไซด์ได้จากเซลล์อย่างรวดเร็ว เมื่อถึงปอดไบคาร์บอเนตจะเปลี่ยนเป็นคาร์บอนไดออกไซด์
และซึม
ผ่านผนังเส้นเลือดฝอยเข้าสู่ถุงลม เพื่อขับออกจากปอดระหว่างการหายใจออก
3.
คาร์บอนไดออกไซด์ถูกนำออกจากเนื้อเยื่อโดยวิธีแพร่ (passive diffusion)
ประมาณ 7%
ของคาร์บอนไดออกไซด์ถูกขับออกโดยวิธีนี้
|
|
: ฮีโมโกลบินที่จับกับออกซิเจนก็สามารถจับกับคาร์บอนไดออกไซด์
ได้หรือไม่
|
|
การลำเลียง CO2 จากเนื้อเยื่อ |
การลำเลียง CO2 ไปยังปอด |
รูปที่
1.18 |
แสดงการลำเลียงคาร์บอนไดออกไซด์จากเนื้อเยื่อไปสู่ปอด
|
|
1. เมื่อเทียบระหว่างปอดและเหงือก ทั้ง 2 อวัยวะนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร
โดยเฉพาะในแง่ของตำแหน่งที่อยู่ในตัวของสัตว์
และให้อธิบายเพิ่มเติม
ในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างและหน้าที่ของเหงือกในสัตว์น้ำ
และปอดในสัตว์บก
2.
หัวใจส่งเลือดชนิดไหนมาปอด โดยเส้นเลือดชื่ออะไร
ปอดส่งเลือดชนิดใดมาหัวใจ โดยเส้นเลือดชื่ออะไร
3. ระดับ pH มีความสัมพันธ์อย่างไรต่อความดัน
(ความเข้มข้น)
ของออกซิเจนในปอด และในเนื้อเยื่อร่างกาย
จงอธิบาย
4. ความเข้มข้นของกรดคาร์บอนิกมีผลต่อการแลกเปลี่ยนออกซิเจนของ
เม็ดเลือดแดงอย่างไร
5. ฮีโมโกลบิน กับ ไมโอโกลบิน (myoglobin)
มีบทบาทเกี่ยวกับการรับ
และส่งออกซิเจนอย่างไร ที่ไหน
6. กับคำกล่าวที่ว่า ฮีโมโกลบินจะรวมตัวกับคาร์บอนมอนอกไซด์ได้ดีกว่า
ออกซิเจน คุณเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้หรือไม่
เพราะเหตุใด จงอธิบาย
ตามหลักเคมี
|
|
|