การอนุบาลลูกปลากัด

            ลูกปลาที่ฟักออกจากไข่ใหม่ๆจะเกาะอยู่ที่หวอด และมีถุงอาหารติดอยู่ที่ตัว ลูกปลาจะใช้อาหารจาก
ถุงอาหารหมดภายใน 3-4 วัน ดังนั้นในช่วงนี้จึงไม่จำเป็นต้องให้อาหาร
            เมื่อลูกปลาเริ่มกินอาหารควรให้ไข่แดงต้มสุกบดละเอียดกรองผ่านกระชอนตาถี่ๆ หยดกระจายในน้ำที่เลี้ยงลูกปลาวันละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 3-5 วัน แล้วจึงเปลี่ยนไปใช้ไรแดงที่มีขนาดเล็กเลี้ยง เมื่อลูกปลาเริ่มโตจึงเปลี่ยนไปเลี้ยงด้วยไรแดงขนาดใหญ่จนกระทั่งลูกปลาสามารถกินลูกน้ำได้ จึงควรเลี้ยงด้วยลูกน้ำต่อไป
            เมื่อปลากัดอายุได้ประมาณ 1 เดือนครึ่งถึง 2 เดือนจะสามารถแยกเพศได้ ควรแยกปลากัดตัวผู้และตัวเมียออกจากกัน โดยเฉพาะปลากัดตัวผู้จะต้องแยกจากกัน เนื่องจากพวกมันจะเริ่มกัดกันเอง เพื่อแสดงลำดับขั้น
ความสำคัญในกลุ่ม แต่ไม่ถึงขั้นที่กัดกันจนตาย พฤติกรรมนี้อาจเป็นสาเหตุทำให้ปลาได้รับบาดเจ็บและเกิดเป็นโรคได้ แต่จากการสังเกตพบว่า่ถ้านำตัวผู้ครอกเดียวกันที่แยกจากกันไปแล้วมาใส่รวมกันอีก มันจะกัดกันจนอาจถึงตายได

            เมื่อลูกปลามีอายุ 4 เดือน นับว่าปลากัดโตเต็มที่แล้ว พร้อมที่จะจำหน่ายและผสมพันธุ์ ในช่วงนี้อาหารที่ให้คงเป็นลูกน้ำ หรือเป็นอาหารที่มีชีวิตอื่นๆ เช่น ปลวก ไส้เดือน ลูกกุ้ง เป็นต้น

               
   
ลูกปลาที่เพิ่งออกจากไข่
ลูกปลากัด
 
     
ลูกปลากัด
การคัดแยกลูกปลาเพื่อนำไปเลี้ยงในขวด
   
พัฒนาการของลูกปลากัดตั้งแต่ออกจากไข่จนถึงอายุ 12 วัน
การพัฒนาของลูกปลากัดในไข่

เม็ดสี และการเกิดเม็ดสีในลูกปลากัด

             การศึกษาพัฒนาการของลูกปลากัดวัยอ่อน จากลักษณะภายนอกที่มองเห็นได้ในระยะต่าง ๆ โดยการเก็บรวบรวมตัวอย่างลูกปลาวัยอ่อนจากการเพาะฟัก ตั้งแต่ฟักออกจากไข่ใหม่ ๆ จนกระทั่งลูกปลาได้พัฒนาลักษณะรูปร่างเหมือนปลาที่โตเต็มวัย (ระยะ juvenile อายุประมาณ 50 วัน) ลูกปลากัดวัยอ่อนระยะที่มีถุงอาหารสำรอง (yolk sac stage) ไม่มีจุดสีบนถุงอาหารสำรอง ลูกปลากัดวัยอ่อนระยะแรก (pre larval stage) ไม่มีหรือมีจุดสี
น้อยมากบนลำตัว ลูกปลากัดวัยอ่อนระยะหลัง (post larval stage) มีจุดสีกระจายอยู่บนลำตัว สีของปลาถูกควบคุมโดยเซลล์เม็ดสี (chromatophores) ชนิดต่างๆที่อยู่ในผิวหนังที่เรียกว่าชั้นเดอร์มิส (dermis) หรือชั้นที่ลึกลงไป หรือพบได้ในตาของปลา
                ชั้นสีของปลากัดสามารถแบ่งออกเป็น 4 ชั้น ได้แก่ ชั้นสีเงาวาวหรือสีน้ำเงิน (iridescent layer) ชั้นสีดำ(black layer) ชั้นสีแดง (red layer) และชั้นสีเหลือง (yellow layer) โดยชั้นสีแต่ละชั้นของปลากัดจะมียีนที่กำหนดสีต่างๆ ซึ่งทำให้ชั้นสีแต่ละชั้นมีชนิด จำนวนเม็ดสี (pigment) และการกระจายตัวของเม็ดสีแตกต่างกันออกไป
                ชั้นสีเงาวาวหรือสีน้ำเงิน ส่วนใหญ่ประกอบด้วยเซลล์เม็ดสีิอิริโดไซด์หรือกัวโนฟอร์ (iridocyte หรือ guanophore) ที่ควบคุมปริมาณรงควัตถุสีน้ำเงิน ชั้นสีดำประกอบด้วยเซลล์เม็ดสีเมลาโนฟอร์ ( melanophore) ชั้นสีแดงประกอบด้วยเซลล์เม็ดสีอีริโทรฟอร์ (erythrophore) และชั้นสีเหลือง ประกอบด้วยเซลล์เม็ดสีแซนโธฟอร์ (xanthophore) ซึ่งควบคุมปริมาณรงควัตถุสีดำ (melanin) สีแดง (pterin) และสีเหลือง (xanthin) ตามลำดับ

 
ภาพตัดขวางบริเวณชั้นผิวหนังของปลากัด
 
รงควัตถุสีเงาวาว (iridescence) สีน้ำเงิน และสีเขียว
                ปลากัดขับถ่ายของเสียออกทางเหงือกและผิวหนัง แต่มีของเสียบางประเภทที่ถูกเก็บสะสมไว้ในบริเวณผิวหนัง ตา และครีบ ซึ่งสารประกอบที่เป็นของเสียจากขบวนการเมตาบอลิซึมของสารประกอบที่มีไนโตรเจน เช่น กัวนีน (guanine) เป็นโพลิเมอร์ของแอมโมเนียที่เรียงตัวเป็นผลึก (crystalline) จะสะท้อนแสงและทำให้เห็นตัวปลาเป็นเงาวาว โดยพบผลึกของกัวนีนอยู่ในเซลล์เม็ดสีอิริโดไซท์ (iridocyte) ความหนาและการจัดเรียงตัวของผลึกและรงควัตถุชนิดนี้ทำให้มองเห็นปลากัดมีสีน้ำเงินและสีเขียวที่หลากหลาย
ปลากัดที่มีสีมันวาว
รงควัตถุสีดำ (melanin)
                รงควัตถุสีดำเป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโนที่ชื่อว่าอะลานีน (alanine) ซึ่งเซลล์ของร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นสารอื่นๆ เช่น ฟีนิลอะลานีน (phenylalanine) ไทโรซีน(tyrosine) และไดไฮดรอกซิล-ฟีนิลอะลานิน (dyhydroxyl-phenylalanine : DOPA) ซึ่งมักเกิดขึ้นในเซลล์เมลาโนไซท์ (melanocyte) โดยใช้เอนไซม์ชนิดต่างๆ และเอนไซม์ที่สำคัญ คือไทโรซิเนส (tyrosinase) หากปลากัดไม่สามารถผลิตเอนไซม์ชนิดนี้ได้ จะทำให้เป็นปลากัดเผือก (albino)
                ในเซลล์เมลาโนไซท์ (melanocyte) นั้น DOPA จะถูกเปลี่ยนรูปเป็น DOPA-quinone ซึ่งเป็นรงควัตถุ
สีแดง แต่ไม่เสถียรจึงเปลี่ยนเป็นอินโดล ควิโนน (indole quinone) ที่รวมตัวกันเป็นสายโพลิเมอร์ที่เรียกว่า เมลานิน (melanin) ทำให้มองเห็นปลากัดเป็นสีดำหรือสีน้ำตาล
     
ปลากัดสีดำ
ปลากัดที่มี่สีดำและน้ำตาล
รงควัตถุสีแดง (pterin)
                สีแดงของปลากัดอาจเป็นผลมาจากรงควัตถุเธอรีน (pterin) ซึ่งมีโครงสร้างของเทอริดีน(pteridin) ที่เรียกว่าเทอริโนโซม (pterinosome) ลักษณะคล้ายกับการจับกันแบบกัวนีน (guanine)  และอาจเกิดจากแอสทาแซนทีน (astaxanthin)
   
สูตรโครงสร้างโมเลกุลของ pterin
ปลากัดสีแดง
 
รงควัตถุแคโรทีนอยด์ (carotenoid)
                สีเหลืองที่พบในปลากัดอาจเกิดจากรงควัตถุแคโรทีนอยด์ (carotenoid) ในเซลล์แซนโธฟอร์ (xanthophore) หรืออาจเกิดระหว่างขั้นตอนการสร้างเมลานินซึ่งมีสาเหตุจากปริมาณเอนไซม์ไทโรซิเนส (tyrosinase) ไม่เพียงพอ ทำให้เกิดเป็นสีเหลืองหรือสีแดงขึ้นได้ ดังนั้นการเกิดสีเหลืองในปลากัดอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ อาทิเช่น ระหว่าง melanin pathway หรือ xanthin pathway ของแคโรทีนอยด์ หรือ pterine pathway ของเอนไซม์ร่วม (cofactor) ที่เหมือนกันกับกรดโฟลิค รงค์วัตถุแคโรทีนอยด์ชนิดที่รู้จักกันมากที่ี่สุด คือ
แอสทาแซนทิน (astaxanthin) พบในสาหร่ายสไปรูไลนาซึ่งเป็นสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินที่นิยมนำมาใช้ทำ้เป็นส่วนประกอบของอาหารปลา ดังนั้นการเลี้ยงปลากัดด้วยอาหารที่มีส่วนผสมของรงค์วัตถุจากสิ่งมีชีวิตจากธรรมชาติจะช่วยทำให้ปลามีสีที่สดกว่าเดิม
สูตรโครงสร้างโมเลกุลของ astaxanthin (รงค์วัตถุแคโรทีนอยด์)
ปลาักัดสีเหลือง
ความแตกต่างระหว่างรงควัตถุและสารให้ความวาว
                รงควัตถุ (สารสี) ที่พบในปลากัดส่วนใหญ่เป็นเธอริน (pterin)  สารประเภทแคโรทีน (carotene) และ เมลานิน (melanin)

                สารให้ความวาวส่วนใหญ่เป็นสารประเภทเบส (bases) ของกรดนิวคลีอิค (nucleic acid) ที่ตกเป็นตะกอน และกึ่งผลึกเป็นชั้นตามผิวและเกล็ด

การเลี้ยงปลากัดในขวด

            ปลากัดเมื่อโตได้ขนาด ผู้เลี้ยงจะคัดแยกตัวเมียและตัวผู้ออกจากกัน ตัวผู้จะนำไปเลี้ยงในขวดขวดละ
1 ตัว ขวดที่นิยมใช้คือขวดสุราแบน ส่วนตัวเมียหลังจากคัดไว้ทำพันธุ์แล้วจะขายที่เหลือไปในราคาถูก
            ปลากัดที่เลี้ยงในขวดต้องให้อาหารเช้าเย็น เปลี่ยนน้ำทุก 3 วันจะทำให้ปลาโตเร็ว การเลี้ยงใช้เวลาประมาณ 30-40 วันก็ขายได้ ปลากัดที่เลี้ยงในขวดจะต้องให้อาหารให้อิ่มมิฉะนั้นปลาอาจจะกัดหางตัวเอง
โดยเฉพาะปลากัดจีน
            ทุกๆเดือนหรือสองเดือน ควรล้างขวดที่เลี้ยงให้สะอาดเพื่อป้องกันการเกิดโรคเนื่องจากการสะสมของ
ของเสียต่างๆ โดยย้ายปลากัดไปเลี้ยงในขวดใหม่ที่เตรียมไว

 
   
การเลี้ยงปลากัดในขวดสุราแบน
การเปลี่ยนน้ำปลากัดในขวด
 
การเลี้ยงปลากัดเพื่อใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์
ปลากัดที่เลี้ยงไว้ในขวดโหล
 

คุณรู้หรือไม่ ?

การหมักปลาคืออะไร


                เรามักได้ยินอยู่บ่อยๆว่าผู้เลี้ยงปลากัดมักมีการหมักปลาในบางช่วงที่มี
การเลี้ยงปลากัด ซึ่งการหมักปลานั้นหมายถึง วิธีการรักษาปลาและบำรุงปลาด้วยวิธีการทางธรรมชาติโดยใช้สมุนไพร หลังจากการหมัก ปลากัดจะมีสีและเกล็ดเรียบเป็นมันเงา


จุดประสงค์ของการหมักปลา คือ

  1. การหมักปลาเพื่อให้ปลากัดเก่ง สู้เก่ง
  2. การหมักเพื่อรักษาแผลจากการต่อสู้
  3. การหมักเพื่อรักษาแผลที่ไม่สบายหรือมีอาการตกใจ

วิธีการหมักปลา

  1. ใช้ใบตองแห้งหรือใบหูกวางแห้งจำนวน  1 ใบ
  2. ใช้ใบตะไคร้ประมาณ 4-5 ใบ
  3. ดินเหนียวปั่นตากแห้งพอประมาณ
  4. นำส่วนผสมในข้อ 1-3 มาใส่ลงในน้ำที่เตรียมไว้ เพื่อให้ได้น้ำหมักใบหูกวาง
  5. นำน้ำที่ได้จากการหมักมาเลี้ยงปลากัดประมาณ 10 -15 วัน ให้กินอาหารทุกวัน หรือ 2 วันให้กิน 1 ครั้ง
  6. ถ้าเป็นการหมักเพื่อการแข่งขัน ผู้เลี้ยงจะนำปลามาเลี้ยงต่อในน้ำปกติประมาณ 10 วัน
    แต่ละวันจะนำปลาตัวเมียมาปล่อยลงไปเพื่อให้ตัวผู้ไล่ประมาณ 3-4 นาที จากนั้นให้ลูกน้ำกินเป็นอาหาร


    ***หมายเหตุ....ในธรรมชาติใบหูกวางและใบตองแห้งจะมีสารพวกแทนนินเป็นองค์ประกอบ ซึ่งสารนี้จัดว่าเป็นสารที่มีพิษ แต่การนำใบหูกวางและใบตองมาใช้ในการหมักปลานั้นนับว่าเป็นภูมิปัญญาของไทย และปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาวิจัยที่เป็นเอกสารอ้างอิงถึงผลของ
    สารแทนนินที่มีต่อปลากัดดังกล่าว
   
 
   
 
   
ใบหูกวางแห้ง
ปลากัดที่หมักในน้ำ้ำหมักใบหูกวาง
 

กิจกรรมที่ทำได้ในชั้นเรียนเกี่ยวกับเรื่องสิ่งมีชีวิตกับการดำรงชีวิต

          ให้นักเรียนศึกษาโครงสร้างและการทำงานของระบบต่างๆ ของสัตว์ และเปรียบเทียบระหว่างสัตว์ต่างชนิดกันที่พบได้ง่าย อาทิเช่น ปลากัด กบ แมลง มด ฯลฯเป็นต้น โดยให้เปรียบเทียบโครงสร้างของร่างกายภายนอก การดำรงชีวิต การเคลื่อนที่ และให้นักเรียนศึกษาการสืบพันธุ์และการขยายพันธุ์ของสัตว์ โดยจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมเพื่อให้สัตว์สามารถสืบพันธุ์และเจริญเติบโต และให้นักเรียนวางแผนและศึกษาวงจรชีวิตและพัฒนาการของสัตว์ในแต่ละระยะ

          นักเรียนสามารถศึกษาและเปรียบเทียบรูปแบบการปฏิสนธิภายนอกและภายในพร้อมทั้งการออกลูกเป็นไข่และออกลูกเป็นตัวของสัตว์ โดยใช้ปลากัด และปลาหางนกยูง ซึ่งเป็นปลาที่หาได้ง่ายและสามารถสังเกต
ได้อย่างชัดเจน ซึ่งกิจกรรมนี้จะทำให้นักเรียนเข้าใจเรื่องการสืบพันธุ์ของสัตว์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

 
   
 
หน้าเดิม