![]() |
|
การควบคุมการแสดงออกของยีนให้เป็นโปรตีนในโปรแคริโอต
จะเกิดในขั้นตอน การคัดลอกดีเอ็นเอเป็นสำคัญ และเป็นการเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อสัญญาณต่างๆ ใน สิ่งแวดล้อมในโปรแคริโอตยีนส่วนใหญ่จะอยู่เป็นกลุ่ม และยีนในกลุ่มนั้นๆ จะใช้ตำแหน่ง โปรโมเตอร์เดียวกันในการที่จะเริ่มการคัดลอกดีเอ็นเอเพื่อสังเคราะห์เป็นอาร์เอ็นเอ เรียกกลุ่มของยีนที่มีลักษณะดังกล่าวนี้ว่าโอเปอร์รอน (operon) ยีนที่อยู่ในโอเปอร์รอน เดียวกันอาจอยู่ติดกันทั้งหมดเหมือนดังรูปที่ 4.3 หรืออยู่แยกห่างจากกันก็ได้ แต่ไม่ว่าจะมี ความแตกต่างกันในเรื่องของตำแหน่งยีนในโอเปอร์รอน สิ่งหนึ่งที่เป็นลักษณะร่วมกันของ โอเปอร์รอนคือ โอเปอร์รอน จะประกอบไปด้วยยีนต่างๆ ที่สำคัญ ได้แก่ยีนควบคุม (regulator gene) ยีนส่งเสริม (promoter gene) ยีนดำเนินการ (operator gene) และยีนโครงสร้าง (structural gene) |
|
|
|
ยีนแต่ละประเภทในโอเปอร์รอน มีหน้าที่ต่างๆ ดังนี้ |
|
ยีนควบคุม
มีหน้าที่ควบคุมยีนดำเนินการโดยสร้างตัวกดดัน ซึ่งสามารถจับกับยีน ดำเนินการทำให้เอ็นไซม์อาร์เอ็นเอโพลีเมอเรสไม่สามารถสังเคราะห์อาร์เอ็นเอได้ |
|
ยีนส่งเสริม
เป็นตำแหน่งให้เอ็นไซม์อาร์เอ็นเอโพลีเมอเรสจับ และเคลื่อนที่ไปยัง ยีนโครงสร้างเพื่อสังเคราะห์อาร์เอ็นเอ |
|
ยีนดำเนินการ
อยู่ถัดจากยีนส่งเสริมและอยู่ก่อนหน้ายีนโครงสร้าง เป็นตำแหน่งจับ ของตัวกดดันในการควบคุมการสังเคราะห์อาร์เอ็นเอ |
|
ยีนโครงสร้าง
เป็นยีนหลักที่มีข้อมูลทางพันธุกรรมซึ่งจะสร้างโปรตีนโดยตรง การแสดงออกของยีนโครงสร้างจะผ่านทางการควบคุมการทำงานของยีนต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น |
|
การควบคุมการแสดงออกของยีนในโอเปอร์รอนเกิดขึ้นทั้งโดยทางลบ
และทางบวก หมายความว่าการควบคุมทางลบจะเป็นการกดไม่ให้ยีนเหล่านั้นแสดงออก และในทางกลับกัน การควบคุมทางบวกจะเป็นการส่งเสริมให้มีผลผลิตของยีนโครงสร้างมากขึ้น ตัวอย่าง การควบคุมการแสดงออกของโอเปอร์รอน ได้แก่ |
|
1. แล็คโอเปอร์รอน (lac operon) |
|
แล็คโอเปอร์รอนประกอบไปด้วยยีนโครงสร้างที่สำคัญ
ได้แก่ยีนที่ผลิตเอ็นไซม์ เบตากาแล็คโตไซเดส เปอร์มิเอส และทรานสอะเซทิเลส ทั้ง 3 เอ็นไซม์นี้เกี่ยวข้องกับ เมแทบอลิซึมของน้ำตาลแล็คโตส จากการศึกษาพบว่าเอ็นไซม์ทั้ง 3 ชนิดนี้จะถูกสร้างขึ้น ก็ต่อเมื่อเซลล์ถูกเลี้ยงในอาหารที่มีน้ำตาลแล็คโตสเป็นส่วนประกอบ ในขณะที่เมื่อไม่มีน้ำตาล แล็คโตสแบคทีเรียจะไม่สร้างเอ็นไซม์ดังกล่าว เป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจว่าเซลล์นั้น มีความฉลาดมากที่จะไม่สูญเสียพลังงานตลอดจนเวลาอันมีค่าไปกับการสร้างเอ็นไซม์ขึ้นมา แล้วไม่ถูกนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ แต่บนความน่าทึ่งนี้ก็มีคำถามเกิดขึ้นว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ได้อย่างไร |
|
![]() รูปที่ 4.4 โครงสร้างของแล็คโอเปอร์รอน (lac operon) |
|
คำตอบก็คือเมื่อเซลล์ของแบคทีเรียถูกเลี้ยงในอาหารที่ไม่มีน้ำตาลแล็คโตส
นั่นหมายความว่าเซลล์ก็ไม่จำเป็นต้องสร้างเอ็นไซม์ขึ้นมาย่อยน้ำตาลแล็คโตส หรือกล่าวอีก นัยหนึ่งคือต้องไม่มีการแสดงออกของยีนโครงสร้างในโอเปอร์รอน การควบคุมเพื่อไม่ให้เกิด การแสดงออกของยีนโครงสร้างเกิดจากการที่มีโปรตีนตัวกดซึ่งสร้างมาจากยีนควบคุม ไปจับ บนตำแหน่งโอเปอร์เรเตอร์ และคาบเกี่ยวกับตำแหน่งโปรโมเตอร์ เป็นเหตุให้เอ็นไซม์อาร์เอ็นเอ โพลีเมอเรสไม่สามารถจับกับตำแหน่งโปรโมเตอร์จึงไม่สามารถสังเคราะห์ mRNA ของยีน โครงสร้างได้ และผลสุดท้ายคือไม่มีการผลิตเอ็นไซม์ออกมานั่นเอง |
|
![]() รูปที่ 4.5 กลไกการควบคุมการแสดงออกของยีนใน lac operon |
|
แต่เมื่ออยู่ในอาหารที่มีน้ำตาลแล็คโตส
(ที่ไม่มีกลูโคส) แบคทีเรียต้องสร้างเอ็นไซม์ ขึ้นมาย่อยน้ำตาลดังกล่าว ซึ่งหมายความว่าจะต้องมีการแสดงออกของยีนโครงสร้างใน โอเปอร์รอน การควบคุมเพื่อให้เกิดการแสดงออกของยีนโครงสร้างเกิดจาก การที่น้ำตาล แล็คโตสจำนวนหนึ่งถูกเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของน้ำตาลแอลโลแล็คโตส (allolactose) แล้วน้ำตาลชนิดนี้ไปจับกับโปรตีนตัวกด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของโปรตีนดังกล่าว การเปลี่ยนแปลงรูปร่างนี้ ทำให้โปรตีนตัวกดไม่สามารถจับกับสายดีเอ็นเอตรงตำแหน่ง โอเปอร์เรเตอร์ที่คาบเกี่ยวกับตำแหน่งโปรโมเตอร์ได้ ดังนั้นเอ็นไซม์อาร์เอ็นเอโพลีเมอเรส จึงสามารถจับกับตำแหน่งโปรโมเตอร์ และเริ่มการสังเคราะห์ mRNA ของยีนโครงสร้างเพื่อ ผลสุดท้ายจะได้เอ็นไซม์ออกมาใช้ในที่สุด (รูปที่ 4.6) |
|
![]() รูปที่ 4.6 การแสดงออกยีนโครงสร้างบน lac operon เมื่อมี lactose สูง |
|
การทำหน้าที่ของเอ็นไซม์อาร์เอ็นเอโพลีเมอร์เรส
นอกจากจะขึ้นกับการทำงานของ โปรตีนตัวกดแล้ว ยังขึ้นอยู่กับการทำงานของ cyclic AMP(cAMP) เอ็นไซม์ที่ใช้ในการสร้าง cAMP คือ เอ็นไซม์อะดีนีลิลไซเคลส (adenylyl cyclase) ซึ่งในสภาวะที่มีกลูโคสมากเอ็นไซม์ ชนิดนี้จะถูกยับยั้งไม่ให้ทำงานคือไม่มีการสร้าง cAMP หน้าที่สำคัญของ cAMP ต่อการ แสดงออกของยีนโครงสร้างในโอเปอร์รอนคือ เป็นตัวกระตุ้นโดยการไปจับกับโปรตีนที่ ทำหน้าที่ส่งเสริมหรือกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์อาร์เอ็นเอโพลีเมอเรส โปรตีนที่ถูกกระตุ้น โดย cAMP คือ catabolite activator protein (CAP) เมื่อแบคทีเรียอยู่ในอาหารที่มีน้ำตาล แล็คโตส แต่ไม่มีน้ำตาลกลูโคส cAMP ที่สะสมอยู่ภายในเซลล์จำนวนมากจะไปกระตุ้นให้ โปรตีน CAP ทำงานมากขึ้นโดยการไปจับกับโปรตีนที่ทำหน้าที่ส่งเสริมและกระตุ้นการทำงาน ของเอ็นไซม์อาร์เอ็นเอโพลีเมอเรสทำให้เกิดการคัดลอกดีเอ็นเอบริเวณยีนโครงสร้างออกมา เพื่อสร้างเป็นเอ็นไซม์ในขั้นตอนต่อไป |
|
![]() |
|
![]() รูปที่ 4.7 การควบคุมการแสดงออกของยีนใน lac operon โดย cAMP |
|
อีกตัวอย่างหนึ่งของการควบคุมการทำงานที่เกิดขึ้นในแล็คโอเปอรอน
คือในกรณีที่ แบคทีเรียถูกเลี้ยงในอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลกลูโคสและแล็คโตส จากการศึกษาพบว่า แบคทีเรียจะเลือกใช้น้ำตาลกลูโคสเป็นแหล่งพลังงานจนหมด แล้วจึงใช้น้ำตาลแล็คโตสเป็น แหล่งพลังงานในลำดับต่อมาเสมอ จากสิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่าในระหว่างที่มีการใช้น้ำตาล กลูโคส จะไม่มีการผลิตเอ็นไซม์ที่เกี่ยวกับเมแทบอลิซึมของน้ำตาลแล็คโตส เมื่อจำเป็นจะต้อง ใช้แหล่งพลังงานสำรองก็จะมีการผลิตเอ็นไซม์เบตาการแล็คโตไซเดส เปอร์มิเอส และ ทรานสอะเซทิเลส ออกมา จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ทำให้เกิดข้อสงสัย 2 ประการ โดยประการแรกคือเหตุใดเซลล์จึงเลือกใช้น้ำตาลกลูโคสก่อนการใช้น้ำตาลแล็คโตส และประการที่สองคือ ในขณะที่มีการใช้น้ำตาลกลูโคสอยู่นั้น แล็คโอเปอร์รอนเปิด (เพราะโปรตีนตัวกดไม่ทำงาน) แต่เหตุใดจึงไม่มีการสร้างเอ็นไซม์จากยีนโครงสร้างภายใน แล็คโอเปอร์รอน |
|
กลไกการทำงานซึ่งเป็นคำตอบของคำถามที่กล่าวไว้ด้านบนเป็นดังนี้
เนื่องจากน้ำตาล กลูโคสเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวจึงสามารถนำไปใช้เป็นแหล่งพลังงานได้ง่าย โดยไม่ต้องสร้าง เอ็นไซม์ขึ้นมาย่อย เซลล์จึงเลือกใช้น้ำตาลชนิดนี้ก่อนน้ำตาลแล็คโตสซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลคู่ และในขณะที่มีการใช้น้ำตาลกลูโคสอยู่นั้นแม้แล็คโอเปอร์รอนจะเปิด แต่ก็ไม่มีการสร้าง เอ็นไซม์จากยีนโครงสร้างภายในโอเปอร์รอน ทั้งนี้เพราะเมื่อมีระดับน้ำตาลกลูโคสสูงปริมาณ ATP ภายในเซลล์มีมาก ปริมาณ cAMP มีน้อย จึงไม่มีการกระตุ้นการทำงานของ CAP ประสิทธิภาพการทำงานของเอ็นไซม์อาร์เอ็นเอโพลีเมอเรสไม่ดี การคัดลอกดีเอ็นเอของยีน โครงสร้างภายในโอเปอร์รอนเกิดขึ้นช้ามาก และไม่มีการสร้างเอ็นไซม์จากยีนโครงสร้างแม้ว่า โอเปอร์รอนจะเปิดก็ตาม (รูปที่ 4.8) |
|
![]() ![]() รูปที่ 4.8 กลไกการทำงานของ lac operon ขณะที่กลูโคสมีปริมาณสูง |
|
เมื่อปริมาณน้ำตาลกลูโคสลดลง เอ็นไซม์อะดีนีลิลไซเคลสเริ่มทำงาน ทำให้ปริมาณ cAMP ในเซลล์มีมากขึ้น เกิดการกระตุ้นการทำงานของ CAPซึ่งจะส่งผลให้ CAP ไปกระตุ้นให้ เอ็นไซม์อาร์เอ็นเอโพลีเมอเรสทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงเกิดการคัดลอก ดีเอ็นเอของยีนโครงสร้างภายในโอเปอร์รอน ทำให้มีการผลิตเอ็นไซม์ออกมาใช้นั่นเอง (รูปที่ 4.9) |
|
รูปที่ 4.9 การทำงานของ lac operon ขณะที่กลูโคสมีปริมาณต่ำ |
|
![]() รูปที่ 4.10 เปรียบเทียบการทำงานของ lac operon ในสภาวะที่ี่กลูโคสมีปริมาณสูงและต่ำ |
|
2. ทริปโอเปอร์รอน (trp operon) |
|
นอกจากแล็คโอเปอร์รอนแล้วในเซลล์ของแบคทีเรีย
ยังมีโอเปอร์รอนชนิดอื่นๆ อีก เช่น ทริปโอเปอร์รอน โดยในกลุ่มยีนนี้จะมียีนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเอ็นไซม์ที่จำเป็นสำหรับ การสร้างกรดอะมิโนทริปโทเฟน โดยเมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะที่มีกรดอะมิโนทริปโทเฟนอยู่ อย่างเพียงพอ นั่นหมายความว่าเซลล์ไม่จำเป็นต้องสร้างกรดอะมิโนชนิดดังกล่าวขึ้นมาอีก คือไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างเอ็นไซม์สำหรับการสร้างกรดอะมิโนทริปโทเฟน หรือไม่มี การคัดลอกยีนโครงสร้างโดยเอ็นไซม์อาร์เอ็นเอโพลีเมอเรส ซึ่งเซลล์ควบคุมให้เกิดเหตุการณ์ เช่นนี้โดยกรดอะมิโนทริปโทเฟนจะไปจับกับโปรตีนตัวกด เป็นการกระตุ้นให้โปรตีนดังกล่าว ไปจับบนตำแหน่งโอเปอร์เรเตอร์ และคาบเกี่ยวกับตำแหน่งโปรโมเตอร์ เป็นเหตุให้ เอ็นไซม์อาร์เอ็นเอโพลีเมอเรสไม่สามารถจับกับตำแหน่งโปรโมเตอร์จึงไม่สามารถสังเคราะห์ mRNA ของยีนโครงสร้าง และผลสุดท้ายคือไม่มีการผลิตเอ็นไซม์ออกมานั่นเอง (รูปที่4.11) |
|
![]() รูปที่ 4.11 ยีนโครงสร้างบน trp operonไม่แสดงออกเมื่อมีปริมาณทริปโทเฟนสูง |
|
แต่เมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะที่ขาดแคลนกรดอะมิโนทริปโทเฟน
ก็จำเป็นต้องสร้าง กรดอะมิโนชนิดดังกล่าวขึ้น คือต้องสร้างเอ็นไซม์สำหรับการสร้างกรดอะมิโนทริปโทเฟน ซึ่ง เอ็นไซม์นี้จะถูกสร้างก็ต่อเมื่อมีการคัดลอกยีนโครงสร้างโดยเอ็นไซม์อาร์เอ็นเอโพลีเมอเรส เซลล์ควบคุมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้โดยเมื่อไม่มีกรดอะมิโนทริปโทเฟนไปจับกับโปรตีนตัวกด โปรตีนดังกล่าวจะไม่สามารถไปจับบนตำแหน่งโอเปอร์เรเตอร์ และคาบเกี่ยวกับตำแหน่ง โปรโมเตอร์เป็นเหตุให้เอ็นไซม์อาร์เอ็นเอโพลีเมอเรสสามารถจับกับตำแหน่งโปรโมเตอร์ จึงสามารถสังเคราะห์ mRNA ของยีนโครงสร้าง และผลสุดท้ายคือมีการผลิตเอ็นไซม์ออกมา ใช้นั่นเอง (รูปที่ 4.12) |
|
![]() รูปที่ 4.12 การแสดงออกของยีนโครงสร้างบน trp operonเมื่อไม่มีทริปโทเฟน |
|