|
หิน หมายถึง สสารหรือวัตถุแข็งที่ประกอบด้วยแร่ตั้งแต่หนึ่งชนิดขึ้นไป อย่างไรก็ตามมีหินบางชนิดที่ไม่ได้ประกอบด้วย แร่ เช่น หินออบซิเดียน "obsidian" หรือหินแก้วภูเขาไฟ ส่วนพีท (peat) ถ่านหิน (coal) และหินปูน (บางกลุ่ม) เป็นหินที่ประกอบด้วยเม็ดสารอินทรีย์ของพืชและสัตว์ |
|
กระบวนการเกิดหินนั้นเกิดขึ้นตลอดเวลา ทั้งบริเวณผิวโลก หรือลึกลงไปใต้เปลือกโลก หินนับเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ทั้งด้านการเกษตร อุตสาหกรรม คมนาคม สาธารณสุข และอื่นๆ หินสามารถจำแนกตามลักษณะการกำเนิดออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ หินอัคนี หินตะกอนหรือหินชั้น และหินแปร
|
หินอัคนี หรือ หินหลอมเหลว (magma) เมื่อเย็นลงจะแข็งตัว กระบวนการนี้เรียกว่า การตกผลึก ถ้าเกิดขึ้นบนผิวโลก เรียกหินที่เกิดขึ้นว่า หินภูเขาไฟ (ภาพที่ 3.1)
|
|
ภาพที่ 3.1 หินอัคนี เมื่อเย็นลงจะแข็งตัว และตกผลึกบนผิวโลกกลายเป็นหินภูเขาไฟ เช่น หินบะซอลต์
|
แต่ถ้าการเย็นตัวเกิดที่ใต้ผิวโลก เรียกว่า หินแกรนิต (ภาพที่ 3.2)
|
|
ภาพที่ 3.2 หินอัคนี เมื่อเย็นตัวใต้โลก กลายเป็นหินแกรนิต
|
การเกิดหินชั้น และหินแปรจากหินอัคนี |
เมื่อเวลาผ่านไป หินอัคนีดันตัวแทรกขึ้นมา และเกิดการผุพังโดยกระบวนการต่างๆ (ภาพที่3.3) เช่น การที่น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง (freezing) การละลายของน้ำแข็ง (thawing) หลังจากนั้นหินก็จะผุพัง โดยอิทธิพลของลม คลื่น ตะกอนถูกพัดพามาทับถมกันกลายเป็นหินชั้นต่อไป (ภาพที่ 3.3)
|
|
ภาพที่ 3.3 การผุพังโดยกระบวนการต่างๆ ของหินอัคนี
|
ตะกอนที่ถูกทับถมก่อนจะอยู่ด้านล่าง และมีขนาดเล็ก เนื่องจากถูกบีบอัดจากตะกอนที่เกิดขึ้นใหม่จากด้านบน เมื่อเวลาผ่านไปจะได้ตะกอนที่มีชั้นหินที่ใหญ่ขึ้นดังภาพที่ 3.4
|
|
ภาพที่ 3.4 การบีบอัด และทับถมกันของตะกอนขนาดเล็กจนได้ตะกอนที่มีชั้นหินเพิ่มขึ้น
|
ตะกอนจะถูกทับถม จนในที่สุดแข็งตัวกลายเป็นหิน และมีการเชื่อมประสานของตะกอนกับสารประกอบแร่เข้าด้วยกัน (ภาพที่ 3.5)
|
|
ภาพที่ 3.5 การเชื่อมประสานกันของตะกอนกับสารประกอบแร่
|
โดยสรุปหินชั้นจะเกิดจากตะกอนทับถมกันเป็นชั้นบนผิวโลก ส่วนหินแปรก็จะเกิดอยู่ด้านล่างอีกทีโดยอาศัยความร้อน และแรงดันที่มากทำให้หินชั้นแปรเปลี่ยนสภาพไปเป็นหินแปร (ภาพที่ 3.6)
|
|
ภาพที่ 3.6 ความร้อนและแรงดันที่มีมากทำให้หินชั้นเปลี่ยนสภาพไปเป็นหินแปร
|
อุณหภูมิที่สูงมากๆ จะทำให้หินเกิดเป็นลักษณะที่มีรอยคดโค้งเกิดขึ้น ในที่สุดหินชั้นจะเคลื่อนที่ลงมายังใต้เปลือกโลกถูกหลอมละลายเป็นแมกมาต่อไป (ภาพที่ 3.7)
|
|
ภาพที่ 3.7 หินชั้นถูกหลอมละลายกลายเป็นแมกมา
|
การระเบิดของภูเขาไฟ (volcanic eruption) เกิดจากการที่แมกมา หรือ หินหลอมเหลวเคลื่อนที่ขึ้นไปยังผิวโลก ทั้งนี้เพราะว่าแมกมามีแรงดันที่น้อยกว่าแรงดันรอบๆ ตัว จึงถูกดันขึ้นไปสู่ผิวโลกทางปล่องภูเขาไฟ (ภาพที่ 3.8)
|
|
|
ภาพที่ 3.8 แสดงการระเบิดของภูเขาไฟ (volcanic eruption)
|
หินอัคนี เกิดจากลาวาที่เย็นตัวลงบนผิวโลก เรียกว่า extrusive หรือ volcanic rock (หินภูเขาไฟ) ดังภาพที่3.9 |
|
ภาพที่ 3.9 ลาวาที่เย็นตัวลงบนผิวโลก (extrusive rock) |
ส่วน แมกมา (magma) ที่เย็นตัวใต้โลก เรียกว่า intrusive หรือ plutonic rock (ภาพที่ 3.10)
|
|
ภาพที่ 3.10 แมกมาที่เย็นตัวใต้โลก (intrusive rock)
|
|
|
แมกมา กับ ลาวา แตกต่างกันอย่างไร |
|
|
|
เมื่อแมกมาใต้ผิวโลก ถูกดันตัวขึ้นมา บางส่วนจะมีการเคลื่อนที่ และแแทรกเข้าไปยังที่ต่างๆ เกิดเป็นภูเขาลักษณะต่างๆ (ภาพที่3.11)
|
|
ภาพที่ 3.11แมกมาใต้โลกถูกยกตัว และเคลื่อนที่กลายเป็นภูเขาลักษณะต่างๆ
|
รูปร่างมวลหินที่แข็งตัวจากหินหนืดใต้ผิวโลก
มวลหินอัคนีที่แข็งตัวใต้โลกจากการแทรกดันของแมกมา เรียกว่า พลูตอน (pluton) ซึ่งมีรูปร่างหลายลักษณะหลายขนาด รวมทั้งมีความสัมพันธ์กับหินที่อยู่โดยรอบ มวลหินอัคนีจัดเป็น 2 ประเภท ตามลักษณะการแทรกตัวของแมกมาเข้าไปในหินข้างเคียง กล่าวคือ ถ้ามวลหินอัคนีมีทิศทางขนานกับชั้นหินที่มันแทรกตัวเข้าไป เรียกว่า การแทรกซอนร่วมแนว (concordant intrusion) แต่ถ้ามวลหินอัคนีมีทิศทางตัดกับชั้นหินที่มันแทรกเข้าไป เรียกว่า การแทรกซอนไม่ร่วมแนว (discordant intrusion)
รูปร่างของพลูตอนที่พบมีหลายแบบ
1. พลูตอนที่เกิดจากการแทรกซอนร่วมแนว ได้แก่ พนังแทรกชั้น (sill) หินอัคนีรูปเห็ด (laccolith)
2. พลูตอนที่เกิดจากการแทรกซอนไม่ร่วมแนว ได้แก่ พนัง (dike หรือ dyke) ไดก์สวอม (dike swarm) โวลเคนิคเนค (volcanic neck) และหินอัคนีมวลไพศาล (batholith)
|
การเปลี่ยนแปลงไปมาระหว่างหินชนิดต่างๆ ดังที่กล่าวมานี้ อาจสรุปได้ในวัฏจักรหิน |
วัฎจักรหิน |
เมื่อก่อนมนุษย์มีความเชื่อว่า หินชนิดหนึ่งไม่สามารถเปลี่ยนเป็นอีกชนิดได้ แต่อันที่จริงแล้วหินมีการเปลี่ยนแปลงเป็นวัฏจักร คือ สามารถเปลี่ยนจากชนิดหนึ่งไปเป็นอีกชนิดหนึ่งได้แต่ทั้งนี้ต้องอาศัยระยะเวลาในการเปลี่ยนแปลง (ดังรายละเอียดในภาพที่ 3.12)
|
|
ภาพที่ 3.12 วัฏจักรหิน
|
จากภาพ อธิบายได้ว่าเมื่อหินอัคนี หินชั้น หรือหินแปรผุพังจะเกิดการเคลื่อนที่ และเกิดทับถมตัวกันของตะกอนจนกลายเป็นหิน
ในกระบวนการแข็งเป็นหิน เกิดเป็นหินชั้น ต่อมาหินชั้นได้รับความร้อน และแรงดันใต้โลก จึงทำให้เปลี่ยนเป็นหินแปร จากนั้นแมกมาใต้โลกดันตัวขึ้นมาบนโลกเกิดการเย็นตัว และตกผลึกกลายเป็นหินอัคนีต่อไป
|
|