ต่อมหมวกไตส่วนในเจริญมาจากเนื้อเยื่อชนิดเดียวกับที่เจริญไปเป็นระบบประสาท
เซลล์ของตัวอ่อนจะค่อยๆ เจริญเป็นเซลล์ประสาท 2 ประเภท คือนิวโรบลาส
(neuroblast หรือ sympathoblast) ซึ่งจะเจริญไปเป็นเซลล์ประสาทซิมพาเทติก
และฟีโอโครโมบลาสท์ (pheochromoblasts) ซึ่งจะเจริญเป็นเซลล์โครมาฟฟิน
(chromaffin cell)
ต่อมหมวกไตส่วนในเป็นทั้งต่อมไร้ท่อและเป็นส่วนของประสาทซิมพาเทติก
จะทำงานเมื่อเผชิญหน้ากับ ภาวะเครียด ตื่นเต้น ตกใจ กลัว หนีภัย (fight
or flight) เมื่อเจ็บปวดและออกกำลังกาย สร้างฮอร์โมน 2 ชนิด คือ ฮอร์โมนอิพิเนฟรินหรืออะดรีนาลินประมาณ
80 เปอร์เซนต์ ซึ่งเป็นตัวที่สำคัญและอีกฮอร์โมนคือนอร์อิพิเนฟริน
ประมาณ 15 เปอร์เซนต์ รวมกันเรียกว่าแคททีโคลามีน (catecholamines)
แคททีโคลามีนสร้างที่ไซโตซอลของต่อมหมวกไตส่วนในแล้วเก็บไว้ในเม็ดเล็กๆ
ในโครมาฟฟินเซลล์ (chromaffin granules) เมื่อได้รับการกระตุ้น
จะถูกปล่อยเข้าไปในหลอดเลือด
ตอบ
แคททีโคลามีนสร้างมาจากกรดอะมิโนไทโรซีน
ซึ่งได้รับมาจากอาหารแล้วไทโรซีนจะถูกเปลี่ยนไปเป็น ไดไฮดรอกซิฟีนิลอะลานีน
( dihydroxyphenylalanine หรือ DOPA) โดยเอนไซม์ไทโรซีน ไฮดรอก
ซิเลส
(tyrosine hydroxylase) หลังจากนั้นจะถูกเปลี่ยนเป็นโดปามีน (dopamine)
ซึ่งเป็นสารกล่อมประสาท (opioids) มีฤทธิ์ลดความเจ็บปวดได้ หลังจากนั้นโดปามีนจะเปลี่ยนเป็นนอร์อิพิเนฟริน
โดยเอนไซม์โดปามีน เบตาไฮดรอกซิเลส (dopamine betahydroxylase) แล้วจึงเปลี่ยนเป็นอิพิเนฟรินโดยเอนไซม์
ฟีนิลเอททาโนลามีน - เอ็น - เมทิลทรานสเฟอเรส (phenylethanolamine
N- methytransferase : PNMT)
การสังเคราะห์แคททีโคลามีนจากสารตั้งต้นไทโรซีนโดยเอนไซม์ต่างๆ
หลายขั้นตอน
ตัวรับสัญญาณของแคททีโคลามีน
แคททีโคลามีนจะออกฤทธิ์ได้ต้องจับกับตัวรับสัญญาณบนเยื่อหุ้มเซลล์
ตัวรับสัญญาณของ แคททีโคลามีน เรียกว่าตัวรับสัญญาณอะดรีเนอร์จิก (adrenergic
receptors) แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ แอลฟา และเบตา
ชนิดของตัวรับสัญญาณแบ่งตามการตอบสนองของเซลล์อวัยวะเป้าหมายต่อตัวกระตุ้นอะดรีเนอ์จิก
ซึ่งไม่เหมือนกันเช่น อิพิเนฟริน และนอร์อิพิเนฟริน จะกระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจ
และนอร์อิพิเนฟรินจะกระตุ้นที่หลอดลมด้วย แต่อิพิเนฟรินจะไม่กระตุ้นหลอดลม
แสดงว่าตัวรับสัญญาณที่กล้ามเนื้อหัวใจและหลอดลมเป็นเบตาคนละชนิด ซึ่งพบว่าตัวรับสัญญาณ
อะดรีเนอจิกแบบเบตาที่กล้ามเนื้อหัวใจเป็น เบตา1 (β1)
และที่หลอดลมเป็นเบตา 2 (β2)
สำหรับตัวรับสัญญาณแอลฟามี
2 ชนิดเช่นกันคือแอลฟา 1(α 1) และแอลฟา 2(α 2)เมื่อถูกกระตุ้นจะจับกับจี
โปรตีนชนิดยับยั้ง (Gsi) จึงมีผลลดระดับcAMP และแอลฟา1 เมื่อถูกกระตุ้นจะมีผลต่อตัวสื่อสัญญาณประเภทแคลเซียม
และระบบโปรตีนไคเนส ซี แต่ทั้งสองชนิด กระตุ้นจี โปรตีนและระบบอะดรีนิลไซเคลสเช่นกัน
การทำงานของประสาทซิมพาเทติกและฮอร์โมนแคททีโคลามีน
ประสาทซิมพาเทติกก่อนถึงปมประสาท
(preganglionic fibers)จะหลั่งสารเคมีหรือสารสื่อประสาท ผ่านไปที่จุด
ประสานประสาท หรือซิเนปส์ (synapse)ไปที่ใยประสาทหลังปมประสาท(postganglionic
fibers) แต่การหลั่งฮอร์โมนของ ต่อมหมวกในส่วนใน เมื่อใยประสาทก่อนถึงปมประสาทถูกกระตุ้นจะไปกระตุ้นต่อมหมวกไตส่วนในให้หลั่งฮอร์โมนเข้ากระแสเลือดแทนที่จะผ่านไปที่
จุดประสานประสาท โดยเซลล์ของต่อมหมวกไตส่วนในจะทำหน้าที่เหมือนเป็นใยประสาทหลังปมประสาท(postganglionic
fibers)
จุดสีแดง
คือ สารสื่อประสาท จุดสีน้ำเงิน
คือ นอร์อิพิเนฟริน จุดสีฟ้า
คือ อิพิเนฟริน
เปรียบเทียบการหลั่งและการจับกับตัวรับสัญญาณของฮอร์โมนอิพิเนฟริน
นอร์อิพิเนฟริน และกระแสประสาท จะเห็นว่านอร์อิพิเนฟรินเป็นได้ทั้งสารสื่อประสาทและฮอร์โมน
ตัวรับสัญญาณเบตา1จะจับได้ทั้ง อิพิเนฟริน และนอร์อิพิเนฟรินเท่ากันแต่ตัวรับสัญญาณเบตา2
จะจับกับอิพิเนฟรินเท่านั้น ส่วนแอลฟาจับได้ทั้ง2ตัวแต่จะจับกับนอร์อิพิเนฟรินได้ดีกว่าอิพิเนฟริน
อวัยวะเป้าหมายของเซลล์ประสาทซิมพาเทติกส่วนใหญ่มีตัวรับสัญญาณแอลฟา
1(α 1) สำหรับตัวรับสัญญาณเบตา2 ส่วนใหญ่พบที่หัวใจ โดยทั่วไปถ้ากระตุ้นตัวรับสัญญาณแอลฟา
1และเบตา1จะเป็นการกระตุ้นการทำงาน แต่ถ้ากระตุ้นตัวรับสัญญาณแอลฟา
2และเบตา2จะเป็นการยับยั้งการทำงาน
การตอบสนองต่อแคททีโคลามีนจะรวดเร็วมาก
มีอายุครึ่งชีวิตต่ำกว่า 10 วินาที
การหลั่งฮอร์โมนนี้เกิดจากการกระตุ้นของกระแสประสาทซิมพาเทติก
(sympathetic) จากไฮโพทาลามัส( hypothalamus) หรือประสาทอัตโนมัติและ
คอร์ติโคโทรปิน รีลิสซิงฮอร์โมน (corticotrophin releasing
hormone: CRH) มีผลทำให้ เซลล์โครมาฟฟิน (chromaffin cell )
หลั่งแคททีโคลามีนออกมา ซึ่งจะไปกระตุ้นการสร้างกลูโคสทำให้น้ำตาลในกระแสเลือดสูงขึ้น
และระดับน้ำตาลที่สูงขึ้นนี้จะไปยับยั้งไฮโพทาลามัสลดการหลั่งแคททีโคลามีน
การกระตุ้นเซลล์ประสาทซิมพาเทติกทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนอิพิเนฟรินและนอร์อิพิเนฟรินจากต่อมหมวกไตส่วนใน
ระบบไหลเวียนโลหิต
การทำงานของแคททีโคลามีนจะคล้ายกับการกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทซิมพาเทติก
โดยการเพิ่มการเต้นและแรงในการหดรัดตัวของหัวใจ ทำให้เส้นเลือดหดรัดตัว
ทำให้ความดันโลหิต เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นผลให้อวัยวะต่างๆ ได้รับเลือดเพียงพอเมื่ออยู่ในภาวะเครียด
ฮอร์โมนนอร์อิพิเนฟรินแต่ละครั้งจะหลั่งออกมาเพียงจำนวนน้อย
เป็นฮอร์โมนที่สำคัญในการที่ทำ ให้เส้นเลือดที่ผิวหนัง ที่เนื้อเยื่อภายใน
(viscera )และกล้ามเนื้อที่ติดอยู่กับกระดูกหดรัดตัวจึงมีผลทำให้ ความดันโลหิตเพิ่ม
เพิ่มการหายใจให้เร็วและแรงขึ้น
ทำให้กล้ามเนื้อเรียบของระบบหายใจคลายตัว หลอดลมขยายตัว ลดแรงดันทำให้อากาศเข้าและออกจากปอดได้ดี
ผลของฮอร์โมนอิพิเนฟรินและนอร์อิพิเนฟรินผ่านตามตัวรับสัญญาณและตัวสื่อสัญญาณตัวที่สองชนิดต่างๆ
E = อิพิเนฟริน
NE = นอรอิพิเนฟริน์
ผลต่อเมแทบอลิซึม
แคททีโคลามีนทำหน้าที่สลายพลังงานที่เก็บไว้มาใช้ในยามที่ร่างกายต้องการใช้พลังงานอย่างมากและรวดเร็ว
กระตุ้นให้เกิดการสลายพลังงานไปให้อวัยวะเป้าหมายใช้ได้ทันที ได้แก่
กระตุ้นการสลายไกลโคเจน
(glycogenolysis)ที่ตับและกล้ามเนื้อ แต่โดยทั่วไปแล้วไกลโคเจนที่กล้ามเนื้อ
ไม่สามารถเปลี่ยนมาเป็นกลูโคสได้โดยตรง ต้องเปลี่ยนมาเป็นกรดแลคติกก่อนจึงเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาลกลูโคสได้
ตับจะกำจัดกรด แลกติก (lactic acid) จากกระแสเลือดและเปลี่ยนมาเป็นน้ำตาลกลูโคส
ดังนั้นจึงทำให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดเพิ่มขึ้น นอกจากนี้อิฟิเนฟรินและประสาทซิมพาเทติกยังยับยั้งการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดเพิ่มขึ้น
เพิ่มการใช้พลังงานจากไขมัน
โดยการสลายเนื้อเยื่อไขมันเป็นกรดไขมันเพิ่มขึ้น และกระตุ้นตับให้เปลี่ยนกรดอะมิโน
บางตัวมาเป็นกลูโคส ทำมีระดับกลูโคสเพิ่มขึ้นในกระแสเลือด
การเผาผลาญอาหารเพิ่มมากขึ้น
ทำให้อุณหภูมิของร่างกายเพิ่มขึ้น หลอดเลือดหดรัดตัวเพื่อป้องกันการ
สูญเสียความร้อนและให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย แต่ในขณะเดียวกันร่างกายสร้างเหงื่อเพิ่มมากขึ้นเพื่อกำจัดความร้อนออกจากร่างกาย
อิพิเนฟรินมีผลต่อกล้ามเนื้อเรียบภายในลูกตา
ทำให้แก้วตา (pupil) ขยาย และทำให้เลนส์ตาแบนลง ทำให้มองเห็นสิ่ง ที่เป็นอันตรายได้ดีขึ้น
อิพิเนฟรินทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้และหลอดอาหารลดน้อยลงและลดการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ
ทำให้เมื่ออยู่ในภาวะเครียด ร่างกายจะไม่รู้สึกต้องการรับประทานอาหารและไม่ต้องการขับถ่ายปัสสาวะ
(put and hold)
ผลต่ออิเลกโทรไลท์และน้ำ
แคททีโคลามีนมีส่วนในการควบคุมปริมาณและส่วนประกอบของเหลวนอกเซลล์โดยมีผลต่อฮอร์โมนอื่นๆ
เช่นกระตุ้นเรนินแอนจิโอเทนซิน ทำให้มีการหลั่งแอลโดสเตอโรนและกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนวาโซเพรสซิน
ทำให้การดูดซึมของน้ำกลับเพิ่มขึ้น
ถ้ามีมากเกินไป
ซึ่งเกิดจากเนื้องอกของเซลล์โครมาฟฟิน (chromaffin cell) จะทำให้เกิดโรค
เรียกว่าฟีโอโครโมไซโทมา (pheochromocytoma) ซึ่งหัวใจจะถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง
เกิดอาการใจสั่น คลื่นไส้อาเจียน แน่นหน้าอก ความดันโลหิตสูง สายตาพร่ามัว
ม่านตาขยาย มีการสลายไกลโคเจนที่ตับมากขึ้น ทำให้น้ำตาลในกระแสเลือดเพิ่มมากขึ้น
ถ้าอาการรุนแรงจะทำให ้เส้นเลือดในสมองแตก หัวใจล้มเหลว และตายได้
|