ฮอร์โมนที่สำคัญในกลุ่มนี้ได้แก่
คอร์ติซอล (cortisol) เป็นฮอร์โมนที่จำเป็น
(essential hormone) ที่มีความสำคัญต่อชีวิต ถ้าขาดฮอร์โมนกลูโคคอร์ติคอยด์ซึ่งเป็นฮอร์โมนจำเป็นจะมีผลอย่างมากต่อเซลล์ของร่างกาย
1.
เพิ่มระดับน้ำตาลในกระแสเลือด กลูโคคอร์ติคอยด์ได้ชื่อว่าเป็นฮอร์โมนแห่งการอดอาหาร
(hormone of starvation) เพราะว่าจะกระตุ้นเซลล์ตับให้เปลี่ยนกรดไขมันและกรดอะมิโนบางตัวเป็นกลูโคส
และเก็บสะสมไว้ในรูปของไกลโคเจน (gluconeogenesis) เรียกว่า
กลูโคส สแปริ่ง เอฟเฟ็ก (glucose sparing effect) ซึ่งเป็นขบวนการที่สำคัญ
เพราะจะมีผลในการเผื่อน้ำตาลกลูโคสไว้ให้สมองใช้งานได้ตลอดเวลา
2.
กดระบบภูมิคุ้มกัน (immunosuppressive effect) ยับยั้งกลไกการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ช่วยลดการสลัดอวัยวะที่ปลูกถ่าย
(organ rejection) แต่กลูโคคอร์ติคอยด์จะไม่มีผลต่อภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากภายนอก
เช่นการได้รับวัคซีนที่เป็นอิมมูนต่างๆ (immune)
3. ต่อต้านการอักเสบ
(anti inflammatory effect) โดยการลดการเคลื่อนที่ของเม็ดเลือดขาว
ไปยังบริเวณที่อักเสบ ลดการเกิดหนอง (exudation) และลดการแพ้สารต่างๆ
โดยยับยั้งการหลั่งฮีสตามีน
แต่เนื่องจากระบบป้องกันตนเอง (defense mechanism)
ถูกยับยั้งด้วย ทำให้เกิดผลเสียคือ ทำให้มีการแพร่กระจายของเชื้อโรค
ทำให้ติดเชื้อง่าย และทำให้ลดภูมิคุ้มกันต่อเชื้อแบคทีเรีย(helicobacter
pylori) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร
เพราะทำให้เกิดแผลในกระเพาะ ความเข้าใจเดิมมีอยู่ว่า ว่าโรคกระเพาะเกิดจากการมีกรดมากเกินไปเท่านั้น
เราต้องระวังในการรับประทานสเตรอยด์ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
ตอบ
4.
กระตุ้นการสลายแคลเซียม โดยการเสริมฤทธิ์ของพาราไทรอยด์ฮอร์โมนทำให้มีแคลเซียมในกระแสเลือดเพิ่มมากขึ้น
และลดการดูดซึมแคลเซียมที่ลำไส้ ทำให้มีการขับแคลเซียมที่ท่อไตเพิ่มมากขึ้น
ลดการสร้างกระดูก ยับยั้งการเติบโตของกระดูก ทำให้เกิดโรคกระดูกผุ
5.
ผลต่อประสาทส่วนกลาง ทำให้สมองไวต่อสิ่งเร้า และต่อสู้กับความเครียด
การทำงานของต่อมหมวกไตส่วนนอกถูกควบคุมโดย
อะดรีโนคอร์ติโคโทรฟิคฮอร์โมน (adrenocorticotrophic hormone
: ACTH) ซึ่งเป็นโทรฟิคฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า การหลั่งของ
ACTH จะถูกควบคุมอีกทีจากคอร์ติโคโทรฟิน รีลิสซิงฮอร์โมน (corticotrophin
releasing hormone: CRH) จากไฮโพทาลามัสมาตามการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อม
ได้แก่ ระยะเวลาของแต่ละวัน การเปลี่ยนเวลานอน การอดอาหาร ภาวะเครียด
ระดับของคอร์ติซอลที่ลดลงจะย้อนกลับไปกระตุ้นการหลั่ง CRH และACTH
ได้
การควบคุมการทำงานของต่อมหมวกไตส่วนนอก
ความเครียด
การได้รับบาดเจ็บ อารมณ์ ฯ จะกระตุ้นไฮโพทาลามัส ให้หลั่ง CRH
ไปกระตุ้นต่อมใต้สมองส่วนหน้าให้หลั่ง ACTH มากระตุ้นที่ต่อมหมวกไตส่วนนอก
ให้หลั่งฮอร์โมนของต่อมใต้สมองส่วนนอกออกมามีผลต่อส่วนต่างๆ
ของร่างกาย แต่เมื่อระดับฮอร์โมนของต่อมหมวกไตส่วนนอกมีมากเพียงพอ
จะไปยับยั้งไฮโพทาลามัสและต่อมใต้สมองส่วนหน้าให้ลดการหลั่ง
CRH และ ACTH ทำให้ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตปกติ
ระดับของฮอร์โมนจะสูงต่ำตามระดับของอะดรีโนคอร์ติโคโทรฟิคฮอร์โมน
(adrenocorticotrophic hormone : ACTH) ซึ่งส่งมาควบคุมจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า
ACTH จะมีการหลั่งเป็นการควบคุมในรอบ 24 ชั่วโมง(circadian rhythm
หรือdiurnal ซึ่งแปลว่า กลางวัน-กลางคืน) คือ มีการหลั่งสูงสุดตอนเช้ามืด
ก่อนตื่นนอนจนถึงตอนเช้า ในช่วงกลางวันจะลดลงไปเรื่อยๆ จะต่ำสุดในช่วงกลางคืนและก่อนนอน
เป็นเช่นนี้ทุกวัน
การเปลี่ยนแปลงของ ACTH และกลูโคคอร์ติคอย ซึ่งจะขึ้นลงในรอบ 24 ชั่วโมง
ภาวะมีฮอร์โมนนี้มากไป
ร่างกายจะเป็นอย่างไร?
ถ้ามีฮอร์โมนมากเกินไป
จะทำให้มีความผิดปรกติเกี่ยวกับเมแทบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรต ไขมันและโปรตีน
เพิ่มความต้องการรับประทานอาหาร ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
มีการสะสมไขมันบริเวณแกนกลางของลำตัว เช่น ใบหน้าทำให้หน้ากลมคล้ายดวงจันทร์
(moon face) บริเวณคอมีหนอกยื่นออกมา (buffalo hump) มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง
เนื่องจากมีการสลายโปรตีนและไขมันตามบริเวณแขน ขา ทำให้แขน ขาเรียว
ผิวบาง เห็นเส้นเลือดฝอย พบเส้นเลือดแตกที่หน้าท้อง(red stria)
ขาดประจำเดือน (amenorrhea) กระดูกผุ ติดเชื้อง่าย เกิดกลุ่มอาการโรคที่เรียกว่า
คุชชิง(Cushings syndrome ) พบในผู้ป่วยที่มีเนื้องอกของต่อมหมวกไตส่วนนอกหรือได้รับการรักษาด้วยยาหรือฮอร์โมนที่มีคอร์ติโคสเตรอยด์เป็นส่วนผสม
เพื่อป้องกันอาการแพ้ อักเสบติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน เกิดขึ้นได้ทั้งชายและหญิง
ผู้ป่วยเป็นโรคคุชชิง
(Cushings syndrome )
เด็กที่มีอาการคูชชิ่ง
ภาพด้านซ้ายเป็นภาพก่อนมีอาการ ภาพด้านขวาคือภาพหน้าพระจันทร์(moon
face)เมื่อมีอาการโรคนี้ผ่านไป 4เดือน
ถ้ามีฮอร์โมนนี้น้อยเกินไปจะทำให้เกิดโรคที่เรียกว่าแอดดิสัน (Addisons disease) จะมีอาการซูบผอม รับประทานอาหารไม่ได้ (anorexia nervosa) อาเจียน ท้องเสีย การรักษาสมดุลของแร่ธาตุสูญเสีย ทำให้สับสนและถึงแก่ความตายได้
อาการแสดงของผู้เป็นโรคแอดดิสัน
ซึ่งมีผิวสีเข้มตามที่ต่างๆ
A
ตามที่ต่างๆ ของลำตัว
B แผลเป็น
C
เส้นลายมือมีสีเข้มขึ้น
D หัวนม
E
บริเวณลงน้ำหนักเช่นข้อศอก
F เหงือกดำ
|