|
|
ทรัพยากรธรณี
หมายถึง ทรัพยากรธรรมชาติที่สิ้นเปลืองใช้แล้วหมดไปไม่สามารถเกิดขึ้นทดแทนได้
(non-renewable resources) มนุษย์ได้มีการนำทรัพยากรธรณีมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ มากมาย
การที่มีการนำทรัพยากรไปใช้มากทำให้เกิดปัญหาตามมา การใช้ทรัพยากรอย่างผิดวิธี
และการใช้อย่างสิ้นเปลือง อาจทำให้ทรัพยากรที่มีคุณค่าลดน้อยลงไปอย่างรวดเร็ว
เราจึงควรรู้จักประโยชน์ของทรัพยากรธรรมชาติ รวมไปถึง วิธีอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
สัตว์หลายชนิดรู้จักใช้เครื่องมือ
เช่น ลิงเอพ (apes) ใช้ไม้ในการเกาหลัง นกหัวขวานที่อาศัยอยู่บริเวณหมู่เกาะกะลาปากอส
ทวีปอเมริกาใต้ ใช้ กิ่งไม้เล็กๆ ในการกระทุ้งแมลงจากต้นไม้
ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่ใช้เครื่องมือมากที่สุดเท่ามนุษย์ เครื่องมือต่าง
ๆ และไฟเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึง ความมีอารยธรรม มนุษย์ในประวัติศาสตร์
ในอดีตมนุษย์ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างง่ายๆในการดำรงชีวิต เช่น
ใช้ฟลินต์ (flint) หรือ หินเหล็กไฟ และ ออบซิเดียน (obsidian)
ในการทำอาวุธ มีดแล่หนัง และใช้จุดไฟ ต่อมามนุษย์เริ่มรู้จักการทำเหมือง
ถลุงโลหะ ขุดถ่านหิน และปิโตรเลียมจากโลก ในปัจจุบันมนุษย์ยังใช้
และค้นหา ทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้อยู่
ทรัพยากรธรณีทางธรณีวิทยาแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ ทรัพยากรพลังงาน
(energy resource) และ ทรัพยากรแร่ (mineral resource)
แหล่งแร่
หมายถึง วัตถุธรรมชาติที่มีมูลค่าเชิงเศรษฐกิจที่ได้มีการรวมตัวกันมากเพียงพอและคุ้มค่าในการขุดขึ้นมาใช้ประโยชน์
และในปัจจุบันยังต้องคำนึงถึงความสูญเสียด้านผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
แหล่งแร่หนึ่งๆ เป็นผลมาจากกระบวนการทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพและค่อนข้างเฉพาะตัว
โดยมีการเคลื่อนย้ายวัตถุธาตุที่ไม่ต้องการออกไป หรือมีการเคลื่อนย้ายวัตถุธาตุที่ต้องการไปสะสมตัวในบริเวณใดหรือที่ใดที่หนึ่ง
การแปรสัณฐานของแผ่นธรณีภาค (plate tectonics) มีอิทธิพลต่ออัตราเร่งของการเกิดแหล่งแร่ชนิดต่างๆ
กระบวนการดังกล่าวทำให้มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นในพื้นมหาสมุทรและบริเวณที่เป็นภาคพื้นทวีป
หากเราสามารถกำหนดตำแหน่ง (plot) อายุของแหล่งแร่ชนิดต่างๆ บนเปลือกโลกของเราจะเห็นลักษณะรูปแบบ
(pattern) ที่คล้ายกับว่า การกระจายตัวของแหล่งแร่เหล่านั้นมีความสัมพันธ์กับการเคลื่อนที่แยกออกจากกัน
หรือการเคลื่อนที่เข้าหากันของแผ่นธรณีภาคในยุคสมัยต่างๆ ซึ่งเราเรียกกันรวมๆ
ว่า วัฏจักรการเกิดมหาทวีป (supra continental cycles) ซึ่งดูเหมือนว่าคาบของการเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นทุกๆ
รอบ 400 ล้านปี ทฤษฏีข้างต้นอธิบายว่า เมื่อเกิดมหาทวีปขึ้นแล้ว
ความร้อนได้ถูกสะสมตัวในชั้นแมนเทิลเพิ่มมากขึ้น เกิดหย่อมความร้อนสูง
(hot spots) ขึ้นเป็นบริเวณๆ หย่อมความร้อนสูงมากเหล่านี้เอง
ที่เป็นสาเหตุให้เกิดการปริแตกและแยกออกจากกันของแผ่นธรณีภาค
(divergent plate boundary)
แหล่งแร่โลหะต่างๆ เกิดร่วมกับการเกิดมหาทวีป (oroginic deposits)
และยังเกิดในช่วงต้นๆ ที่แผ่นธรณีภาคแยกออกจากกัน
|
การเกิดแหล่งแร่จำแนกได้
2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่
1.
กลุ่มแหล่งแร่ที่เกิดจากการสะสมตัวของวัตถุธาตุที่ค้างเหลืออยู่
(residual deposits) |
ในกรณีนี้ สารละลายที่ไม่มีคุณค่าเชิงเศรษฐกิจถูกเคลื่อนย้ายออกไป
ทำให้เหลือวัตถุธาตุที่มีคุณค่าเชิงเศรฐกิจในที่เดิม ตัวอย่างเช่น
แหล่งแร่ที่เกิดจากการระเหย (evaporate) กล่าวคือ เมื่อน้ำระเหยออกไปทำให้เหลือเฉพาะสารเกลือ
แหล่งแร่ประเภทนี้ส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กับทะเล ประกอบด้วย แหล่งแร่โพแทส
เกลือหิน ยิปซัม แอนไฮไดรต์ และกำมะถัน ตัวอย่างเช่น แหล่งแร่เกลือหิน
และแหล่งแร่โพแทสในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และแหล่งเกลือที่
lake eyre ที่ทวีปออสเตรเลียตอนกลาง |
2.
กลุ่มแหล่งแร่ที่เกิดจากการพัดพาวัตถุธาตุที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจไปสะสมตัวในบริเวณอื่น
(non-residual deposits) |
เกิดจากการพัดพาวัตถุธาตุที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจจากบริเวณที่เป็นแหล่งใหญ่ไปสะสมตัวในบริเวณที่เป็นพื้นที่เฉพาะ
โดยมีของเหลว/สารไหลที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 100 องศาเซลเซียส เป็นตัวกลางนำพา
คือสารละลายสีดำ หรือที่เรียกว่า black smokers ที่เกิดขึ้นบริเวณที่เป็นรอยปริแตก
และแยกออกจากกันของแผ่นธรณี แหล่งแร่เกิดโดยการไหลเวียนของสารเหลวร้อนดังกล่าวที่ไหลเคลื่อนผ่านชั้นหิน
และเคลื่อนย้ายแร่ธาตุไปสะสมไว้ตามเส้นทางและบริเวณที่มันไหลผ่านเกิดการสะสมตัวของแหล่งแร่หลายประเภท
และหลายรูปแบบที่แตกต่างกันตามสภาพแวดล้อมทางธรณีวิทยาและส่วนประกอบของน้ำแร่ร้อน
|
|
ภาพที่ 5.1 สารละลายสีดำ หรือที่เรียกว่า black smokers
ที่มา : www.ldeo.columbia.edu/.../ slides/smokers.jpg
|
ทฤษฎีว่าด้วยการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีภาค
(plate tectonics) ได้เปลี่ยนความคิดของนักธรณีวิทยาที่เดิมเชื่อกันว่า
แอ่งที่เป็นมหาสมุทรนั้นมีการจมตัวลงไปเฉยๆ และเป็นแอ่งที่เป็นแหล่งให้กำเนิดแร่ที่มีการสะสมตัวของแร่ต่างๆ
ตลอดเวลา
ความร้อนจากแมกมาที่สัมพันธ์กับการเพิ่มพื้นที่ผิวมหาสมุทร หรือ
การลด หรือกลืนไปกับพื้นผิวมหาสมุทรที่เป็นรอยต่อระหว่างแผ่นธรณีภาค
เป็นพลังงานขับเคลื่อนทำให้เกิดระบบการไหลเวียนของแร่ร้อน (hydrothermal
convection system) ระบบเหล่านี้ทำให้กลุ่มแร่ซัลไฟด์ (sulfides)
ประเภท Cu Pb Zn Ag Fe และ Au เกิดการสะสมตัวเพิ่มมากขึ้นในเปลือกโลกส่วนมหาสมุทร
กระบวนการดังกล่าวทำให้ชั้นเนื้อโลกส่วนบน (upper mantle) แร่ธาตุต่างๆ
เช่น Cr Ni Cu และ Pt นี้เพิ่มมากขึ้น
การสึกกร่อนโดยกระบวนการทางเคมีของพื้นทวีปร่วมกับระบบสารละลายในน้ำแร่ร้อนใต้พื้นมหาสมุทร
ทำให้แร่โลหะชนิดต่างๆ รวมถึงมวลสารพอก
(concretion) แมงกานีส (Mn) มาสะสมบริเวณที่ราบใต้ท้องมหาสมุทรหรือทะเลลึก
รวมถึงก้อนเหล็ก แมงกานีสที่ห่อหุ้มด้วยธาตุโคบอลต์บริเวณที่เป็นส่วนฐานของภูเขาไฟใต้ทะเลลึก
|
น้ำแร่ร้อนใต้มหาสมุทรยังเป็นแหล่งพลังงานทางเคมีให้กับสิ่งมีชีวิตและจุลินทรีย์ขนาดเล็กๆ
สำหรับสร้างอาหารในระบบนิเวศที่มีแหล่งแร่สะสมตัวนับเป็นการเชื่อมกระบวนการอินทรีย์เข้าด้วยกัน
ที่สำคัญจุลชีพเล็กๆ เหล่านี้อาจมีส่วนช่วยในการเพิ่มพูนความสมบูรณ์ของแหล่งแร่ด้วย
|
|
อิทธิพลของการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีภาคต่อการกระจายตัวของแหล่งแร่ |
สภาพทางธรณีวิทยาจะเป็นตัวกำหนดขนาด และชนิดของแหล่งแร่ บ่อยครั้งที่สามารถระบุได้ว่าพื้นที่หนึ่งๆ
หรือภูมิภาคหนึ่งๆ เป็นพื้นที่แหล่งแร่ชนิดใด หรือกลุ่มแร่ชนิดไหนได้อย่างถูกต้อง
พื้นที่หรือภูมิภาคเหล่านี้จะมีลักษณะหรือสภาพการกำเนิดทางธรณีวิทยา
(tectonic setting) ที่แตกต่างกันดังได้กล่าวไปแล้ว โดยอาจจะเกี่ยวข้องกับยุคธรณีกาลยุคใดยุคหนึ่งโดยเฉพาะ
ซึ่งจะเห็นว่าสถานที่และเวลาเป็นตัวแปรสำคัญในการสะสมตัวของแหล่งแร่
|
บริเวณที่พบว่ามีการกระจายตัวของแหล่งแร่ได้แก่
|
1.
บริเวณกลางรอยแยกแผ่นธรณีภาคพื้นทวีป และบริเวณหลังอาร์ค (mid-ocean
ridges and back-arc spreading centres) |
แหล่งแร่ซัลไฟต์ขนาดใหญ่มักเกิดในสภาพแวดล้อมที่มีภูเขาไฟใต้สมุทร
บางทีเรียกว่าแหล่งแร่ที่เกิดจากภูเขาไฟ (volcanogenic) และเป็นแหล่งแร่
Cu Pb Zn ที่สำคัญ โดยมีการแบ่งกลุ่มของแหล่งแร่นี้ออกเป็น 3
ประเภทตามสภาพธรณีวิทยาและลักษณะภูเขาไฟที่เกิดร่วมกัน ประมาณ
80 % ของแหล่งแร่ซัลไฟต์ใหญ่ของโลกเกิดสัมพันธ์กับชั้นหินที่เกิดบริเวณอาร์ค
(arc related strata) และที่เหลือ 20 % เกิดสัมพันธ์กับบริเวณรอยแยกแผ่นธรณีภาคพื้นมหาสมุทร
และแหล่งแร่กลุ่มแรกมักมีขนาดใหญ่กว่า
|
2.
บริเวณไหล่ทวีป (passive continental margin) |
กลุ่มหินปูนที่เกิดในบริเวณไหล่ทวีปโบราณ มักเป็นแหล่งสะสมแร่
Cu Pb Zn โดยอาจจะเกิดพร้อมๆ กับการสะสมตัวของหินปูน (syngenetic)
หรือเกิดขึ้นภายหลังการกำเนิดหินปูนแล้ว (epigenetic)
|
แหล่งแร่แมงกานีส
(Mn) ขนาดใหญ่มักเกิดขึ้นในบริเวณไหล่ทวีปในทะเลตื้น แหล่งแมงกานีสชนิดนี้มักมีลักษณะเป็นผืนและแผ่กว้าง
อาจมีความหนาถึง 3 เมตร เช่นแหล่งแร่แมงกานีส Groote Eylandt
ที่รัฐ Queensland ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเกิดจากการตกตะกอนบริเวณตะพักริมฝั่งทะเลสมัยเมื่อ
95 ล้านปีที่แล้ว ในช่วงที่น้ำทะเลถดถอย และในทางตรงกันข้าม
พื้นที่ๆ เคยเกิดน้ำทะเลท่วมขังในอดีต มีโอกาสเกิดการสะสมตัวของฟอสฟอรัสทำให้เกิดแหล่งแร่ฟอสเฟต
และหินฟอสโฟไรต์ (phosphorite) ได้
|
แหล่งแร่เหล็ก (Fe) ชั้นบาง (banded iron formation) ที่พบบริเวณเทือกเขาในภาคตะวันตกของออสเตรเลีย
ซึ่งเชื่อว่าเกิดบริเวณที่เป็นไหล่ทวีปโบราณ ส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า
2,500 ล้านปี มีลักษณะเป็นชั้นสลับกันระหว่างแร่แม่เหล็กกับหินเชิร์ตมีขนาดชั้นบางมากเป็นมิลลิเมตร
ถึงหลายเซนติเมตร การกำเนิดแหล่งแร่เหล็กมีการอธิบายว่า บรรยากาศในช่วง
2,500 ล้านปี ก่อนคงมีออกซิเจนต่ำ เหล็กที่เกิดจากการผุพังสลายตัวในรูปไอออนถูกพัดพาไหลลงไปจับตัวกับออกซิเจนที่เกิดจากการสังเคราะห์แสงของสาหร่ายในทะเล
ทำให้เกิดการสะสมตัวของแร่แม่เหล็ก (Fe3O4)
เป็นชั้นแร่แมกเนไทต์เมื่อมีออกซิเจนในน้ำมากเกินไปและไม่มีไอออนของเหล็กเหลืออยู่ทำให้สาหร่ายตายลง
และสะสมตัวเป็นชั้นหินเชิร์ตสลับกันไปกับชั้นแร่เหล็ก
|
ตัวอย่างแหล่งแร่ทองคำ
(Au)
การเกิดของทองคำมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับการเกิดของภูเขาไฟ สภาพแวดล้อมของการเกิดแหล่งแร่ทองคำทั่วโลกแบ่งได้กว้างๆ
เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ |
1.
กลุ่มแร่ทองคำที่เกิดในหินยุคอาร์เคียน (Archean greenstone
belt)
เป็นแหล่งแร่ที่เกิดร่วมกับกลุ่มหินภูเขาไฟสลับกับหินตะกอนที่มีอายุเก่าแก่กว่า
2,500 ล้านปี |
2.
กลุ่มแร่ทองคำและทองแดงที่เกิดร่วมกับหินพอร์ไพรี (หินอัคนีภูเขาไฟที่มีเนื้อสองขนาด)
แหล่งแร่มักเกิดใต้หินภูเขาไฟที่มีลักษณะเป็นชั้นๆ (stratovolcanoes)
เป็นแหล่งแร่ที่มีเกรดค่อนข้างต่ำ อาจมีขนาดกว้าง 3-8 กม. การทำเหมืองจึงต้องใช้ปริมาณหินป้อนจำนวนมาก |
3.
กลุ่มแร่ทองคำที่เกิดกับน้ำแร่ร้อน (epithermal gold deposits)
แหล่งแร่ทองคำนี้มักเป็นแหล่งแร่ที่เกิดสะสมตัวในระดับตื้น
น้ำแร่ร้อนจากใต้โลกมีอุณหภูมิระหว่าง 50 ถึง 200 องศาเซลเซียลถูกแมกมาดันขึ้นมาพร้อมกันซึ่งแหล่งน้ำร้อนใต้โลกนี้ห่างจากผิวโลกประมาณ
100 กิโลเมตรโดยทั่วไปน้ำร้อนจะเดือดที่ความลึกประมาณ 300 เมตร
ใต้พื้นโลก ซึ่งมีแก๊สไดไฮโดรเจนซัลไฟต์ (H2S) ปะปนอยู่
แต่เนื่องจากแก๊สนี้ได้ระเหยไปทำให้ทองคำเริ่มตกตะกอนและสะสมตัวเพิ่มขึ้น
น้ำร้อนดังกล่าวนี้จึงได้พาแร่ธาตุต่างๆ รวมทั้งทองคำขึ้นมาด้วย
บริเวณที่เกิดน้ำเดือดในอดีตนี้เองจึงเป็นเป้าหมายของนักสำรวจแหล่งแร่ทองคำประเภทนี้ |
สถิติการผลิตทองคำของโลก
ในปีค.ศ.
1994 โลกผลิตทองคำได้ทั้งหมดจำนวน 2,296 ตัน โดยกระจายอยู่ในประเทศต่างๆ
ดังนี้
ประเทศแอฟริกาใต้
25%
ประเทศสหรัฐอเมริกา
14%
ประเทศออสเตรเลีย
11%
ประเทศเครือรัสเซียเดิม
11%
ประเทศแคนาดา
6%
ประเทศจีน
6%
ประเทศบราซิล
3%
ประเทศอื่นๆ
รวม 24%
|
|
|
-
แหล่งแร่ หมายถึงอะไร
- บริเวณใดบ้าง ที่สามารถพบแหล่งแร่เศรษฐกิจ |
|
|
|