|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|
ต่อไปเรามาทำความเข้าใจกัน ให้ลึกซึ้งเกี่ยวกับคุณสมบัติทั่วไปของเอนไซม์กันดีกว่านะ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เอนไซม์ส่วนใหญ่เป็นโปรตีนที่มีลักษณะเป็นก้อน (globular protein) อันเกิดจากการม้วนและทบของสายพอลิเพปไทด์ คล้ายกับเชือกที่ขดไปมา จนเกิดเป็นร่องและรูบนผิวของเอนไซม์ได้ โดยทั่วไปด้านในของโมเลกุลของเอนไซม์นั้น จะมีกรดอะมิโนที่มีคุณสมบัติไม่ชอบน้ำเป็นส่วนใหญ่ (hydrophobic amino acids) รวมกันอยู่ และส่วนมากกรดอะมิโนที่มีคุณสมบัติชอบน้ำ (hydrophilic amino acids) ซึ่งมีแขนงข้างเป็นหมู่ที่มีประจุหรือมีขั้ว จะอยู่บริเวณนอกๆ ของโมเลกุล ความสามารถในการทำงานของเอนไซม์จะขึ้นอยู่กับโครงรูปของเอนไซม์ (conformation) นี้เอง |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
โครงสร้างที่สำคัญของเอนไซม์ ได้แก่ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
บริเวณเร่ง (active site) เป็นบริเวณหนึ่งที่อยู่บนผิวของโมเลกุลของเอนไซม์ที่มีลักษณะเป็นร่อง ที่เกิดจากการม้วนพับของสายพอลิเพปไทด์ ทำให้เกิดเป็นบริเวณที่สำคัญที่ทำให้เกิดปฏิกิริยา โดยภายในบริเวณเร่งนี้ จะมีบริเวณย่อยๆ อีกสองบริเวณคือ บริเวณจับและบริเวณเร่งปฏิกิริยา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
บริเวณจับซับสเตรตและผลิตภัณฑ์ (binding site) คือบริเวณที่ทำให้ซับสเตรตสามารถเข้ามาจับกับเอนไซม์ได้ดี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
บริเวณเร่งปฏิกิริยา (catalytic site) เป็นบริเวณหนึ่งในบริเวณเร่ง ที่กรดอะมิโนที่อยู่บริเวณนั้นทำให้เกิดการเร่งปฏิกิริยาทั้งการสร้างพันธะและการแตกออกของพันธะ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
บริเวณอัลโลสเตอริก (allosteric site) เป็นบริเวณหนึ่งบนผิวโมเลกุลของเอนไซม์บางชนิดที่ยอมให้โมเลกุลขนาดเล็กๆ ที่ไม่ใช่ซับเสตรตเข้าจับได้ และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเอนไซม์ในบริเวณเร่ง แล้วอาจเกิดผลได้สองกรณีคือ ทำให้เร่งปฏิกิริยาได้ดีขึ้น หรือ เลวลง สำหรับโมเลกุลเล็กๆที่เข้ามาจับที่บริเวณอัลโลสเตอริกนี้ เรียกว่า ตัวแปลงปฏิกิริยา (modulator หรือ effector)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
นอกจากนี้องค์ประกอบพื้นฐานของเอนไซม์แต่ละชนิดจะต่างกันด้วย ถ้าเอนไซม์ที่ทั้งโมเลกุลเป็นโปรตีนเพียงอย่างเดียว จะเรียกเอนไซม์กลุ่มนี้ว่า เอนไซม์ธรรมดา (simple enzyme) แต่สำหรับเอนไซม์ที่ต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ เช่น ไออนของโลหะ สารอินทรีย์ชนิดอื่นๆ จะเรียกเอนไซม์กลุ่มนี้ว่า เอนไซม์เชิงประกอบ (complex enzyme) หรือ โฮโลเอนไซม์ (holoenzyme) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
โฮโลเอนไซม์ (holoenzyme) คือ เอนไซม์ที่สมบูรณ์ หมายถึง เอนไซม์ที่จะทำงานได้ ก็ต่อเมื่อมี โคแฟคเตอร์ (cofactor) ซึ่งไม่ใช่โปรตีนรวมอยู่ด้วย สำหรับส่วนที่เป็นโปรตีนอย่างเดียวซึ่งไม่สมบูรณ์ เนื่องจากขาดชิ้นส่วนที่สำคัญไป ทำให้ไม่สามารถเร่งปฏิกิริยาได้ จะเรียกว่า อะโพเอนไซม์ (apoenzyme) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
โคแฟคเตอร์ของเอนไซม์อาจเป็นไอออนของโลหะ เช่น Zn+ ของ เอนไซม์ คาร์บอกซีเพปทิเดส (carboxypeptidase) หรือเป็นสารอินทรีย์ เช่น วิตามิน หรืออนุพันธ์ของวิตามิน เรามักเรียกว่า โคเอนไซม์ (coenzyme) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
โคเอนไซม์บางชนิดจะจับเอนไซม์อย่างแน่น (ด้วยพันธะโควาเลนต์) จนไม่สามารถแยกออกจากเอนไซม์ได้โดยไม่ทำให้เอนไซม์สูญเสีย ความสามารถในการเร่งปฏิกิริยา โคเอนไซม์ประเภทนี้เราเรียกว่า หมู่พรอสธีทิก (prosthetic group) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ตารางที่ 2 ไอออนโลหะที่ทำหน้าที่เป็นโคแฟคเตอร์สำหรับเอนไซม์ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
(David L. Nelson and Michael M. Cox , Lehninger Principles of Biochemistry, 3rded., 2000, 245)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ตารางที่ 3 โคเอนไซม์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวนำพาหมู่เคมี
(David L. Nelson and Michael M. Cox , Lehninger Principles of Biochemistry, 3rded., 2000, 245)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ลองจับวางภาพด้านล่างดูซิครับว่าทำอย่างไร เอนไซม์ตัวนี้จึงทำงานได้ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เอนไซม์บางชนิดหลังจากถูกถอดและแปลรหัสออกมาเป็นโปรตีนแล้ว ยังไม่สามารถทำงานได้ เนื่องจากยังอยู่ในรูป inactive form ต้องมีการเปลี่ยนแปลงโดยตัดบางส่วนออกเสียก่อน (modification) จึงจะทำงานได้ เอนไซม์กลุ่มนี้จึงถูกเรียกว่า ไซโมเจน (zymogen) หรือ โปรเอนไซม์ (proenzyme) ตัวอย่างเช่น เอนไซม์ในระบบทางเดินอาหาร อาทิ เอนไซม์ย่อยโปรตีนที่ชื่อ ไคโมทริปซิน จะถูกหลั่งออกมาจากตับอ่อนในรูปของไคโมทริปซิโนเจน เอ แล้วจะถูกทริปซินตัดบางส่วนออกไป คือกรดอะมิโนในตำแหน่ง 14-25 และกรดอะมิโนในตำแหน่ง 147-148 ทำให้ได้ไคโมทริปซินที่สามารถทำงานได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ตั้งแต่เริ่มมีการศึกษาเรื่องเอนไซม์กันเพิ่มมากขึ้นนั้น ก็ได้มีผู้เสนอสมมติฐานที่ใช้อธิบายว่าเอนไซม์สามารถจับกับซับสเตรตได้ดังนี้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สมมติฐาน "แม่กุญแจและลูกกุญแจ" (Fisher's 'Lock & Key' hypothesis) |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
แบบจำลองการจับกันของเอนไซม์กับซับสเตรส ตามสมมติฐาน Lock & Key |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สมมติฐาน "การเหนี่ยวนำให้เหมาะสม" (Koshland 'Induce fit' hypothesis) จากการศึกษาด้วยเทคนิคต่างๆ พบว่า โครงรูปของเอนไซม์หลังจากจับกับซับสเตรตแล้ว จะแตกต่างไปจากโครงรูปปกติ ฉะนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่า การจับของซับสเตรตจะไปเนี่ยวนำให้โครงรูปของเอนไซม์เปลี่ยนแปลงไป ทำให้กรดอะมิโนที่ทำให้หน้าที่เร่งปฏิริริยามาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมมากขึ้น สมมติฐานนี้เสนอโดย โคชแลนด์ (Daniel Koshland) เขาเสนอว่า " บริเวณเร่งของเอนไซม์น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างเล็กน้อย เพื่อทำให้จับกับซับสเตรตได้ดีขึ้น หรือ ซับสเตรตอาจเปลี่ยนแปลงรูปร่างเพื่อทำให้ตัวมันจับกับบริเวณเร่งของเอนไซม์ได้ดีขึ้นก็ได้ หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งคู่ก็ได้"
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
แบบจำลองการจับกันของเอนไซม์กับซับสเตรต ตามสมมติฐาน Induce fit |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สมมติฐานแบบต่างๆนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ใช้อธิบายในเรื่อง "เอนไซม์มีความจำเพาะด้วย" (บทที่ 4 เอนไซม์มีความจำเพาะ) |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||