มาถึงในตอนท้ายสุดนี้  เราอยากจะขอย้ำให้ชัดเจนอีกครั้งว่า อะตอม โปรตอน และนิวตรอน อนุภาคที่เมื่อประมาณ 30 กว่าปีที่แล้ว      ที่เคยเชื่อกันว่าเป็นอนุภาคมูลฐานนั้น     แท้จริงแล้วยังมี
อนุภาคขนาดจิ๋วกว่าอยู่ภายในอีก  เราเรียกว่า ควาร์ก   แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่า หาก ในอนาคต
เรามีเครื่องมือที่สร้างพลังงานได้สูงยิ่งกว่านี้  บางทีเราอาจจะพบอนุภาคที่เล็กจิ๋วลงไปกว่านี้อีกก็
เป็นได้    ซึ่งถึงตอนนั้นเราก็ต้องยอมรับเพราะวิทยาศาสตร์คือความจริงที่เปลี่ยนแปลงได้ แต่มาจน
ถึงปัจจุบันนี้ ปี ค.ศ. 2006    เรามีหลักฐานและเหตุผลตามหลักทฤษฎีที่ทำให้เชื่อได้ว่า    เราพบหรือ
เข้าใกล้อนุภาคพื้นฐานที่สุดในธรรมชาติแล้ว    นั่นก็คือ  ควาร์ก  อิเล็กตรอน   มิวออน  ทาว   และ นิวตริโนทั้งหลาย
         การค้นพบควาร์ก แอนติควาร์กพร้อมด้วยสมบัติของมัน   ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทำนายได้ว่า โปรตอน(ที่ประกอบไปด้วยควาร์กนั้น)  ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากในสสารทั่วๆไป จะสลายตัวไป
เป็นอนุภาคที่เบากว่าได้       ทั้งนี้เพราะพลังงานของควาร์กไม่คงที่       แต่คงเป็นเรื่องยากที่จะ
สังเกตการณ์การสลายตัวของโปรตอน  แต่ก็อาจมองได้ว่า ตัวเราเองคือหลักฐานของกระบวนการ
ในทางกลับกัน นั่นคือกระบวนการสร้างโปรตอน หรือสร้างควาร์กจากสภาวะแรกเริ่ม  ซึ่งถือว่า
เป็นจุดเริ่มต้นของเอกภพ  สสารต่างๆบนโลกมีส่วนประกอบหลักเป็นโปรตอน  และนิวตรอน ที่ประกอบขึ้นจากควาร์ก     นอกจากนี้การตรวจจับนิวตริโน อนุภาคที่มีคุณสมบัติเด่นคือมีอำนาจ
ทะลุทะลวงสสารได้ดีกว่าสิ่งที่เรารู้จักอย่างดีแล้ว(อย่างโฟตอน)   อีกทั้งยังถูกดูดกลืนโดยสสาร
น้อยมาก ๆ ด้วย
    เราได้ข้อมูลเกี่ยวกับ บิ๊กแบง(big bang)จุดเริ่มต้นของเอกภพ ณ  จุดนี้เชื่อกัน
ว่าเอกภพมีขนาดเป็นศูนย์    แต่มีความร้อนเป็นอนันต์     เมื่อเอกภพขยายตัวอุณหภูมิลดลงก็จะมี
โฟตอน อิเล็กตรอนและนิวตริโนเกิดขึ้น    นิวตริโนนี้เองที่เดินทางมาถึงโลกเรา    อีกทั้งนิวตริโน
ยังเป็นตัวชี้วัดการใกล้สู้จุดจบของดวงดาวต่างๆในเอกภพด้วย    หรือบางทีอาจจะเป็นเอกภพเอง
ก็เป็นได้   เพราะจากหลักฐานที่เชื่อได้ว่าเอกภพขยายตัวออกช้าๆ   ตลอดเวลา     ในที่สุดแล้วแรง
โน้มถ่วงจะทำให้การขยายตัวหยุดลง และเอกภพจะเริ่มหดตัว แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อคิดว่าคงเดา
ได้ไม่ยาก แต่เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าหากเอกภพขยายตัวในอัตราที่สูงกว่าจุดวิกฤติ   ที่จะทำ
ให้แรงโน้มถ่วงไม่มีกำลังมากพอที่จะหยุดการขยายตัว และเอกภพก็จะขยายตัวต่อไปชั่วนิรันดร์ ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงต้องคำนวณหาอัตราการขยายตัวของเอกภพ โดยอาศัย การวัดความหนา-
แน่นของเอกภพ  แม้ตอนนี้มวลสารที่พบแล้วยังน้อยกว่า  1 ใน 100 ของจุดวิกฤติที่จะช่วยยับยั้ง
การขยายตัวของเอกภพ     แต่นิวตริโนที่เราเพิ่งค้นพบ(แม้มีมวลอันน้อยนิด)   รวมถึง สสารมืด
(dark matter) ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราใจชื้นขึ้น   ถึงจะยังมีรายละเอียดไม่สมบูรณ์ ในตอนนี้ก็ตามแต่
ก็เชื่อได้ว่า      ถ้าเราเข้าใจนิวตริโนได้อย่างลึกซึ้ง     เราจะได้ข้อมูลที่ไกลออกไปในเอกภพอันไร้
ขอบเขต  ทั้งที่ย้อนหลังไปในอดีตและแนวโน้มในอนาคตอย่างแน่นอน.

         แต่จะอย่างไรก็ตาม     เราไม่ต้องวิตกกังวลไป เพราะถึงแม้ว่าเอกภพจะหดตัวและถึงจุดจบใน
ที่สุด มันจะไม่เกิดขึ้นก่อน 1 หมื่นล้านปีข้างหน้า และเมื่อถึงเวลานั้น   ถ้าหากมนุษย์ไม่เดินทางไป
ตั้งถิ่นฐานในระบบสุริยะอื่นๆ  มนุษย์ก็จะสิ้นสุดไปก่อนหน้าแล้วพร้อมกับจุดจบของดวงอาทิตย์