|
่
|
นักวิทยาศาสตร์หลายท่านได้ให้ความหมายของคำว่า
แร่ ตัวอย่างเช่น Brush
and Penfield, 1898 กล่าวว่า แร่ คือ สารประกอบทางเคมีที่จะชักนำให้เกิดสารประกอบอนินทรีย์ในธรรมชาติ
และมีสูตรโครงสร้างที่แน่นอน หรือ คือ กระบวนการตกผลึกและมีคุณสมบัติทางฟิสิกส์ที่แน่นอน
Dana
and Ford, 1932 กล่าวว่า แร่ คือ ผลผลิตจากกระบวนการทางอนินทรีย์
มีรูปร่างที่แน่นอน ถ้ามีสภาวะที่เหมาะสมกับลักษณะของโครงสร้างอะตอมก็จะแสดงออกในรูปผลึก
Mason,
et al, 1968 กล่าวว่า แร่ เกิดจากการรวมตัวกันของของแข็งชนิดเดียวกัน
ในรูปสารประกอบอนินทรีย์ ซึ่งมีโครงสร้างทางเคมี ที่มีการจัดเรียงตัวของอะตอมที่แน่นอน
O
Donoghue, 1990 กล่าวว่า แร่ เกิดจากสารประกอบอนินทรีย์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติโดยกระบวนการทางเคมีและฟิสิกส์
Nickel,
E.H., 1995 กล่าวว่า แร่ คือ ธาตุ หรือ สารประกอบเคมีที่เป็นรูปผลึก
และเกิดจากกระบวนการทางธรณีวิทยา |
แร่ในความหมายทางวิชาการจึงต้องมีสมบัติดังนี้คือ
เกิดขึ้นเองในธรรมชาติ เป็นสารอนินทรีย์ เป็นของแข็ง มีโครงสร้างภายในที่เป็นระเบียบ
กล่าวคือ อะตอมถูกจัดเป็นระเบียบที่แน่นอน และมีส่วนประกอบทางเคมีที่แน่นอน
โดยอาจแปรผันได้ในวงจำกัด จึงสามารถเขียนเป็นสูตรโครงสร้างทางเคมีได้
|
ส่วนประกอบและโครงสร้างภายในของแร่ |
ธาตุ
อะตอม และ ไอออน
ธาตุหมายถึง
สารเนื้อเดียวล้วน ประกอบด้วยอะตอมซึ่งเป็นหน่วยเล็กที่สุดของธาตุที่ไม่สามารถทำให้แตกสลายเป็นหน่วยย่อยด้วยวิธีทางเคมีธรรมดา
ธาตุที่นักวิทยาศาตร์รู้จักมีมากถึง112 ธาตุ ซึ่งเป็นธาตุที่เกิดขึ้นเองในธรรมชาติบนโลก
92 ชนิด ในจำนวนนี้ธาตุที่พบมากที่สุด 8 ธาตุ ได้แก่ O, Si,
Al, Fe, La, Mg, K และ Na ซึ่งมีปริมาณรวมกันมากกว่า 98% ของธาตุทั้งหมดบนเปลือกโลก
อะตอมซึ่งเป็นหน่วยพึ้นฐานของธาตุประกอบด้วย
นิวเคลียสขนาดเล็กเนื้อแน่นประจุบวกอยู่ตรงกลาง โดยมีอีเล็คตรอนที่มีประจุลบอยู่รอบนอก
ในนิวเคลียสประกอบด้วยโปรตอนที่มีประจุบวกและนิวตรอนที่เป็นกลางตามทฤษฎี
อะตอมที่เป็นกลางมีจำนวนโปรตรอนในนิวเคลียสเท่ากับจำนวนอีเล็คตรอนที่อยู่โดยรอบ
อย่างไรก็ตามในธรรมชาติอะตอมของธาตุต่างๆ มักมีการสูญเสียอีเล็คตรอนหรือการเพิ่มประจุ
อะตอมที่มีประจุบวกหรือบบเรียกรวมๆ ว่าไอออน อะตอมที่มักคายอีเล็คตรอน
ทำให้อะตอมกลายเป็นประจุบวกเรียก cations เช่น Na คาย 1 อีเล็คตรอนเพื่อเป็น
cation ที่มีประจุ +1 ส่วนอะตอมที่มักรับอีเล็คตรอนทำให้อะตอมกลายเป็นประจุลบเรียก
anions เช่น อะตอมของ O รับอิเล็คตรอนเพิ่ม 2 ทำให้มีประจุ -2
โดยปกติอะตอมและไอออนจะไม่แยกตัวอยู่โดดๆ แต่จะจับตัวกับอะตอมหรือไอออนอื่น ทำให้เกิดสารประกอบหรือเกิดแร่ที่มีความเสถียร
การเกาะยึดกันของอะตอม และไอออนด้วยแรงไฟฟ้าข้างต้นเรียก "chemical
bonds" ซึ่งมีลักษณะการยึดติดกันเป็น 4 แบบ คือ ionic bonds,
covalent bonds, metallic bonds และ Vander Waals forces สมบัติทางกายภาพของแร่หลายประการ
เช่น สี ความแข็ง ความหนาแน่น การเป็นตัวนำไฟฟ้า ต่างขึ้นอยู่กับประเภทของ
bonds
"ionic
bonds" เป็นการยึดติดกันของ ions ที่มีประจุต่างกัน เช่น
แร่เกลือแกง Na+ Cl-
"covalent
bonds" เป็นการยึดติดกันของธาตุที่อยู่ใกล้กันใช้อิเล็คตรอนร่วมกัน
เช่น แร่เพชร โดย C แต่ละตัวใช้อีเล็คตรอนร่วมกัน 4 อีเล็คตรอน
ยึดติดกันในทุกทิศทาง ทำให้เพชรมีความแข็งมาก
"metallic
bonds" อีเล็คตรอนของธาตุโลหะจะอยู่กันหลวมๆ และไม่เกาะติดกับอะตอมใดโดยเฉพาะทำให้อะตอมของโลหะจึงถูกจับกันแน่นมากทำให้โลหะมีความหนาแน่นมาก
เนื่องจากอีเล็คตรอนของธาตุโลหะมีอิสระในการเคลื่อนย้ายสูงทำให้โลหะมีเป็นตัวนำไฟฟ้าและความร้อนที่ดีมาก
"van
der waals forces" อะตอมที่ยึดติดกันด้วยแรงไฟฟ้าอ่อนๆ
ที่เกิดจากการกระจายตัวของอิเล็คตรอนที่ไม่สม่ำเสมอในอะตอมหนึ่งๆทำให้บางส่วนของอะตอมมีประจุลบมาก
หรือน้อยกว่าปกติ
ส่วนประกอบของแร่
และโครงสร้างของผลึกแร่สามารถวิเคราะห์ได้ในห้องปฎิบัติการด้วยเครื่องมือเฉพาะ
หากแร่มีผลึกใหญ่และรูปผลึกสมบูรณ์ อาจสะท้อนให้เห็นโครงสร้างการจัดตัวของอะตอมภายในของแร่นั้นได้
เพราะรูปทรงผลึกจะถูกกำหนดและเกี่ยวข้องโดยตรงกับการจัดวางตัวของโครงสร้างภายใน
อย่างไรก็ตามแร่ในธรรมชาติส่วนใหญ่มักไม่มีรูปผลึกใหญ่ที่สามารถตรวจสอบได้ด้วยตาเปล่า
ยิ่งกว่านั้นแร่ที่มีรูปทรงคล้ายกันอาจมีหลายชนิด การตรวจสอบแร่เพื่อรู้ถึงส่วนประกอบทางเคมีจึงต้องอาศัยสมบัติทางกายภาพอื่นๆ
สนับสนุน ในกรณีที่ต้องการทราบเบื้องต้นและไม่มีเครื่องมือวิทยาศาสตร์ให้ใช้อย่างสะดวก |
|
สมบัติทางกายภาพที่ใช้จำแนกแร่
|
สมบัติทางกายภาพของแร่
ที่สามารถนำมาใช้จำแนกแร่โดยทั่วไปประกอบด้วย สี สีผง ความแข็ง
ผลึก ความโปร่งแสง ความถ่วงจำเพาะ ความมันวาว เป็นต้น
|
สี
(color) เป็นสมบัติที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจน แต่จะให้ระบุชนิดของแร่ว่าเป็นแร่ตัวใดนั้นเป็นสิ่งที่ยากเพราะแร่หลายชนิดมีสีคล้ายๆกัน
จึงไม่เหมาะที่จะใช้การดูสีเป็นหลักเกณฑ์ตายตัวในการบอกชนิดของแร่
เพียงแต่สามารถนำมาใช้ในการคาดเดาว่าอาจจะเป็นแร่ชนิดใด แล้วจึงนำสมบัติอื่นๆ
มาเปรียบเทียบ ต่อไป
|
|
|
|
ภาพที่ 2.1 แร่ควอตซ์ที่มีสีแตกต่างกัน
|
|
สีผง
(streak) สีผงของแร่ที่ได้จากการขูด หรือ บดเป็นผงอาจจะแตกต่างจากสีที่เป็นจริงของแร่
และแร่จะมีสีผงละเอียดที่แน่นอน เช่น แคลไซต์ ในแร่ชนิดเดียวกันจะมีความแตกต่างกันทั้งทาง
สี และรูปร่าง แต่แคลไซต์ทุกตัวจะมีสีผงละเอียดเป็นสีขาวเหมือนกัน
การดูจากสีผงละเอียดจะทำให้สามารถแยกแร่ที่มีสีเหมือนกันแต่แตกต่างกันในสีของผงละเอียด
ตัวอย่างเช่น ทอง (gold) กับ ชาร์โคไพไรท์ (chalcopyrite) ซึ่งมีสีของแร่เป็นสีเหลืองเหมือนกัน
แต่ทำให้เป็นผงแล้วสีของแร่ทั้งสองนี้จะแตกต่างกันอย่างชัดเจน
คือ ทองจะมีสีผงละเอียดเป็นสีเหลืองแต่ชาร์โคไพไรท์จะมีสีผงละเอียดเป็นสีดำ |
|
|
ทอง (gold)
|
ชาร์โคไพไรท์ (chalcopyrite)
|
|
ภาพที่ 2.2 เปรียบเทียบความคล้ายของสีแต่ถ้าขูดสีผงละเอียดออกมาจะต่างกัน
|
|
ภาพที่ 2.3 แร่ที่ถูกขูดเป็นผงจะให้สีที่แท้จริงของแร่
|
ความแข็ง
(hardness) เป็นสมบัติหลักของแร่ ด้วยรูปลักษณ์และสมบัตินี้ทำให้สามารถจำแนกแร่ได้ง่ายขึ้น
ความแข็งของแร่ หมายถึง ความทนทานต่อการขูดหรือการกะเทาะของแร่
เช่น ถ้านำแร่ A มาขูดกับแร่ B แล้วทำให้แร่ B เป็นรอยได้ แต่เมื่อนำแร่
B มาขูดแร่ A ไม่สามารถทำให้แร่ A เป็นรอยได้ แสดงว่า แร่ A
มีความแข็งกว่าแร่ B ความแข็งโดยใช้สเกลของ เฟเดอริก
โมห์ (Frederick Mohs) ซึ่งมีอยู่ 10 แร่เรียงตามลำดับจากอ่อนสุดไปหาแข็งสุดได้ดังนี้
|
แร่ |
ค่าความแข็ง
(โดยประมาณ) |
ทัลก์
(talc) |
1 |
ยิปซัม
(gypsum) |
2 |
แคลไซต์
(calcite) |
3 |
ฟลูออไรต์
(fluorite) |
4 |
อะพาไทต์
(apatite) |
5 |
เฟลสปาร์
(feldspar) |
6 |
ควอตซ์
(quartz) |
7 |
โทแพซ
(topaz) |
8 |
คอรันดัม
(corundum) |
9 |
เพชร
(diamond) |
10 |
|
|
|
ทัลก์
(talc) |
ยิปซัม
(gypsum) |
|
|
แคลไซต์
(calcite) |
ฟลูออไรต์
(fluorite) |
|
|
อะพาไทต์
(apatite) |
เฟลด์สปาร์
(feldspar) |
|
|
ควอตซ์
(quartz) |
โทแพซ
(topaz) |
|
|
คอรันดัม
(corundum) |
เพชร
(diamond) |
|
ภาพที่ 2.4 ตัวอย่างของแร่ที่มีความแข็งต่างกัน
|
แต่ถ้าไม่สามารถหาแร่มาตรฐานเหล่านี้ได้
ก็สามารถใช้อุปกรณ์ทดสอบที่หาได้ง่าย เช่น
เล็บมือ
ความแข็งประมาณ 2.5
เหรียญหรือทองแดง
ความแข็งประมาณ 3
มีด
ดาบ หรือกระจก ความแข็งประมาณ 5.5
ตะไบเหล็ก
ความแข็งประมาณ 6.5
|
|
ภาพที่ 2.5 ตัวอย่างการขีดแก้วลงไปบนกระเบื้องทำให้กระเบื้องเป็นรอยเนื่องจากแก้วมีความแข็งกว่า
คือมีความแข็งประมาณ 5.5 ตามสเกลของ Mohs
|
|
ภาพที่ 2.6 ถ้าแร่มีความแข็งน้อยกว่า 2.5 สามารถใช้เล็บในการขูด
|
|
ภาพที่ 2.7 แร่บางชนิด ไม่สามารถใช้เล็บขูดได้ถึงแม้จะมีความแข็งน้อยว่า
2.5
|
|
ภาพที่ 2.8 ขูดแก้วไม่เป็นรอยแสดงว่ามีความแข็งต่ำกว่า 5.5
|
วิธีการตรวจสอบแร่จากความแข็งของแร่นั้นมีข้อเสียที่อาจจะทำให้เกิดการจำแนกผิดได้
เช่น |
บางครั้งแร่ที่มีความแข็งเท่ากันจะขูดกันเป็นรอยได้
แร่ที่ถูกขูดเป็นรอยไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นแร่ที่อ่อนกว่าเสมอไป
เพราะอาจเกิดจากเนื้อของแร่ที่จับตัวกันไม่แน่น
ความแข็งของด้านต่างๆ ของแร่เดียวกันอาจไม่เท่ากัน
แร่ที่ไม่บริสุทธิ์แร่อื่นเจือปนอยู่อาจมีความแข็งขึ้นหรือน้อยลง
|
|