ตับอ่อนตั้งอยู่ที่ด้านบนซ้ายของช่องท้อง โดยวางตัวจากส่วนโค้งของลำไส้เล็กส่วนดูโอดีนัม (duodenum ) ถึงม้าม (spleen) และด้านหลังของกระเพาะ (stomach) มีลักษณะค่อนข้างแบน มีความยาวประมาณ 12 – 15 เซนติเมตร

        ตับอ่อนทำหน้าที่ทั้งเป็นต่อมมีท่อคือการสร้างน้ำย่อยไปที่ลำไส้เล็กและเป็นต่อมไร้ท่อสร้างฮอร์โมน เซลล์ที่ทำหน้าที่ในการผลิตฮอร์โมนจะรวมกันเป็นกลุ่มมีชื่อว่าไอเลตส์ออฟแลงเกอร์ฮานส์ (Islets of Langerhans) มีปริมาณ 1 – 3 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อเยื่อตับอ่อนทั้งหมด

 

ตำแหน่งของตับอ่อน

 

        ซึ่งประกอบไปด้วยเซลล์ทั้งหมด 6 ชนิด แต่มี 4 ชนิดที่เป็นเปปไทด์ฮอร์โมน ได้แก่

       1. เอ หรือแอลฟาเซลล์ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณร้อยละ 20 ของไอเลตส์ออฟแลงเกอร์ฮานส์ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนกลูคากอน

       2. บี หรือเบตาเซลล์มีเนื้อที่ประมาณร้อยละ 75 ของไอเลตส์ออฟแลงเกอร์ฮานส์ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนอินซูลิน

       3. ดีหรือเดต้าเซลล์ มีเนื้อที่ประมาณร้อยละ 5-10 ของไอเลตส์ออฟแลงเกอร์ฮานส์ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนโซมาโทสเตทิน (somatostatin)

       4. พีพี หรือเอฟเซลล์ เพนคริเอติก พอลิเปปไทด์ มีเนื้อที่ประมาณร้อยละ 1-2 ของไอเลตส์
ออฟแลงเกอร์ฮานส์ ทำหน้าที่ผลิตเพนคริเอติก พอลิเปปไทด์ (pancreatic polypeptide) ทำหน้าที่ลดการดูดซึมอาหารที่กระเพาะและลำไส้ (gastrointestinal function)

 

 

 

 

แผนภาพแสดงการทำหน้าที่ของตับอ่อน

 

 

        ร่างกายสร้างและใช้พลังงานจากอาหารที่ร่างกายได้รับไปตลอดเวลา โดยอาศัยขบวนการสังเคราะห์อาหารหรือการสร้างสารชีวโมเลกุลที่เรียกว่าอะนาบอลิก (anabolic) ซึ่งเป็นการรวมโมเลกุลเล็กให้กลายเป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ เช่นกลูโคสรวมกันเป็นไกลโคเจน ซึ่งเป็นขบวนการสร้างไกลโคเจน(glycogen formation)เรียกอีกอย่างว่าไกลโคเจนนีซิส (glycogenesis)

        ในยามที่ร่างกายขาดอาหารก็ต้องจะมีขบวนการสลายสารโมเลกุลใหญ่ให้กลายเป็นสารโมเลกุลเล็กหรือการทำลายสารชีวโมเลกุลเล็กหรือที่เรียกว่าแคแทบอลิซึม (catabolism) เช่นไกลโคเจนแตกตัวกลายเป็นกลูโคสและกลูโคสแตกตัวเป็นกรดแลกติก เรียกขบวนการนี้ว่าไกลโคไลซิส (glycolysis) กรดแลกติกนี้ตับสามารถนำไปสร้างเป็นกลูโคสขึ้นมาใหม่เพื่อให้กล้ามเนื้อนำมาใช้ได้ด้วย เรียกขบวนการที่ร่างกายใช้สารอื่นที่ไม่ใช่คาร์โบไฮเดรตมาสร้างเป็นกลูโคสนี้ว่ากลูโคนีโอเจนนิซิส (gluconeogenesis ตามศัพท์หมายถึง synthesis of new glucose ซึ่งหมายถึงการสร้างกลูโคสจากกรดอะมิโนและบางครั้งจากกลีเซอรอลที่ได้จากไขมัน)

       ปกติร่างกายจะใช้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต แต่ในยามที่ร่างกายขาดอาหารประเภทนี้ ร่างกายสามารถใช้สารอาหารอื่นทดแทนกันได้ตลอดเวลา เช่น สามารถใช้กรดไขมันให้เปลี่ยนเป็นกลูโคส หรือเปลี่ยนกรดอะมิโนบางตัวมาเป็นกลูโคสได้ และเมื่อร่างกายมีกลูโคสมากเกินไป ก็จะเปลี่ยนเก็บไว้ในรูปของกรดไขมันที่เนื้อเยื่อได้

เมแทบอลิซึมของไขมันและโปรตีนซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นกลูโคสในเซลล์ตับและกล้ามเนื้อได้

 

        โดยทั่วไปร่างกายจะรักษาระดับความเข้มข้นของกลูโคสในกระแสเลือดให้อยู่ในระดับที่สม่ำเสมอ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากการทำงานของฮอร์โมนจากตับอ่อนนั่นเอง

 

        ในหัวข้อต่อไปเราจะได้เรียนรู้ว่าตับอ่อนผลิตฮอร์โมนอะไรได้บ้าง

               1. อินซูลิน (insulin)

               2. กลูคากอน (glucagon)

               3. โซมาโทสแทติน (somatostatin )

               4. เพนคริเอติก พอลิเปปไทด์