การเปลี่ยนแปลงของระบบสืบพันธุ์ของสตรีจะมีเป็นรอบหรือวงจร แต่ละรอบใช้เวลาประมาณ 25 - 35 วัน แต่โดยเฉลี่ยแล้ว 28 วัน โดยวันแรกที่มีประจำเดือนนับเป็นวันที่1 ซึ่งในแต่ละรอบเดือนจะมีเหตุการณ์ดังนี้

          การเปลี่ยนแปลงของรังไข่

      ไฮโพทาลามัสจะ สร้างโกนาโดโทรปิน รีรีสซิ่งฮอร์โมน (gonadotropin releasing hormone) ไปกระตุ้นต่อมใต้สมองส่วนหน้าให้หลั่งฮอร์โมนเอฟ เอส เอช (FSH) ทำให้มีการกระตุ้นไข่ในรังไข่ให้เจริญเติบโตขึ้น

 

      ในตอนแรกในรังไข่จะมีไข่หลายใบ แต่ภายใน 5-7 วัน จะมีเซลล์ฟอลลิเคิลใบหนึ่งโตมากกว่าใบอื่น (dominant follicle) ทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนอีสโทรเจนออกมามากจนไปยับยั้งการทำงานของเอฟ เอส เอช (FSH ) ไม่ให้หลั่งออกมากระตุ้นการทำงานของฟอลลิเคิลอื่นอีกทำให้แต่ละเดือนมีไข่ตกเพียงใบเดียวและโดยปกติจะสลับข้างของรังไข่ 2 ใบ ซึ่งมีด้านซ้ายและด้านขวาอีสโทรเจนกระตุ้นให้เซลล์ฟอลลิเคิล(follicle) สร้างของเหลวออกมาสะสมอยู่ระหว่างเซลล์ และ มีช่องกลวงตรงกลาง (astral follicle) ล้อมรอบไข่หรือโอโอไซด์(oocyte)

 

 

การเจริญของถุงไข่อ่อน การตกไข่ การเกิดและการสลายตัวของคอร์ปัสลูเทียม

 

การตกไข่

      จากผลของโกนาโดโทรปินที่สูงขึ้น จะกระตุ้นให้ฟอลลิเคิลที่เจริญเติบโตเต็มที่มีปริมาณของเหลวในถุงกราเฟียนจำนวนมาก และแกรนูโลซาก็เพิ่มจำนวน และเซลล์ทีคาก็หลั่งอีสโทรเจนมากขึ้น เมื่อถุงไข่อ่อนมี ขนาดใหญ่ทำให้เซลล์แกรนูโลซาจับกันไม่ติด ถุงไข่อ่อนจะปริตรงจุดจำเพาะ (stigma) เป็นบริเวณที่บางและมีเลือดมาเลี้ยงน้อย

ปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดการตกไข่

 

    ที่ผนังของฟอลลิเคิลจะมีส่วนประกอบเป็นคอลลาเจนที่เหนียว       ในขณะที่ฟอลลิเคิลมีการเจริญเติบโตมากขึ้นจะมีการหลั่งฮอร์โมนอีสโทรเจนออกมามากด้วย ทำให้มีการเพิ่มตัวรับสัญญาณของฮอร์โมนแอล เอช (LH) ที่ชั้นทีคา (theca) ของรังไข่มากขึ้น ทำให้แอล เอช มีระดับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว บางทฤษฎีเชื่อว่าฮอร์โมนแอล เอช กระตุ้นให้แกรนูโลซาเซลล์ผลิตสารกระตุ้นพลาสมิโนเจน (plasminogen activator) เมื่อมี LH มากระตุ้น จะทำให้เซลล์บวมขึ้น เซลล์จะปล่อยพลาสมินโนเจน ซึ่งจะถูกย่อยโดยเอนไซม์ตัวหนึ่งทำให้กลายเป็นพลาสมิน และพลาสมินจะเป็นเอนไซม์อีกตัวหนึ่งช่วยย่อย คอลลาเจนในถุงไข่อ่อน ให้ผนังอ่อนตัวลงเมื่อเกิดแรงดันของของเหลวที่แอนทรัมก็จะเกิดการตกไข่(ovulation) ออกมา

     

  ไข่เริ่มมีการแบ่งตัวอีกครั้งต่อจากระยะโปรเพสจนถึงระยะทีโลเฟส -1 คือการแบ่งเซลล์แบบครึ่งจำนวนครั้งที่ 1 เซลล์ไข่อ่อนขั้นที่1 กลายเป็นเซลล์ไข่ขั้นที่ 2 พร้อมที่จะปฏิสนธิแล้วหลุดออกจากรังไข่ เรียกว่า การตกไข่ (ovulation) และจะเคลื่อนที่เข้าไปในส่วนปลายของท่อนำไข่ที่คล้ายนิ้วมือ (fimbria) ไข่จะมีอายุประมาณ 24 ชั่วโมง ถ้าไม่ได้รับการผสมจากอสุจิจะสลายไป   ซึ่งในระยะนี้จะมีการสร้างเยื่อบุมดลูกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ (proliferative phase)

 

       ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มมีประจำเดือนจนถึงวันที่ไข่ตกจะแตกต่างกันมากในแต่ละคน ประมาณ 8-14 วัน ซึ่งในผู้ที่มีรอบประจำเดือนที่แตกต่างกัน นี้ เช่น สตรีที่มีรอบประจำเดือน 21 – 35 วัน ส่วนใหญ่จะต่างกันในระยะก่อนไข่ตก

 

คอร์ปัส ลูทีล (corpus luteum)

       หลังไข่ตก ขนาดเซลล์ของฟอลลิเคิลในรังไข่จะมีขนาดใหญ่ขึ้น มีช่องว่างและสะสมสารที่มีสีเหลืองจึงเรียกระยะนี้ว่าคอร์ปัส ลูเทียม (corpus luteum) ซึ่งแปลว่า โครงสร้างสีเหลือง และมีเลือดจำนวนมากขังอยู่ซึ่งจะค่อยๆดูดซึมไป

 

คอร์ปัส ลูเทียม (corpus luteum) ซึ่งมีโครงสร้างสีเหลืองและอาจมีเลือดขังอยู่

 

       ก่อนที่ไข่ตกนี้จะเริ่มมีฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนในปริมาณเล็กน้อยแล้ว ฟอลลิเคิลในรังไข่ที่ไข่หลุดออกไปแล้ว เรียกว่าคอร์ปัส ลูทีล (corpus luteum) ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนในปริมาณที่มากโดยเฉพาะช่วงกลางของระยะหลังไข่ตก และสร้างอีสโทรเจน (estrogen) บ้าง โพรเจสเทอโรนจะทำงานร่วมกับฮอร์โมนอีสโทรเจน เพื่อป้องกันการแท้งบุตร (abortion) และทำให้เยื่อบุของมดลูกมีการเจริญเติบโตเพื่อเตรียมพร้อมในการฝังตัวของตัวอ่อน (embryo) และกดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันตนเองไม่ให้ต่อต้านทารกระหว่างมีการฝังตัว

 

           เมื่อมี FSH และ LH มากขึ้น จะกระตุ้นให้ไข่เจริญใหญ่ขึ้น ขนาดของไข่ที่เจริญขึ้น จะกระตุ้นให้มีการสร้าง อีสโทรเจนและโพรเจสเทอโรนมากขึ้น ปริมาณของLH และ FSH ที่เพิ่มมากที่สุดในกลางรอบเดือน จะกระตุ้นให้มีการตกไข่ อีสโทรเจนและโพรเจสเทอโรนที่หลั่งออกมามากจะกระตุ้นให้เยื่อบุมดลูกเจริญเติบโต ภายหลังที่ไข่ตกแล้ว คอร์ปัส ลูเทียมจะกระตุ้นให้มีการสร้างฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนมากขึ้น และกระตุ้นเยื่อบุมดลูกให้เจริญต่อไปได้อีกจนกระทั่งถ้าไม่มีการปฏิสนธิ ระดับของฮอร์โมนอีสโทรเจน และโพรเจสเทอโรนจะลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เยื่อบุมดลูกหลุดลอกเป็นประจำเดือนออกมา
 

 

ระดับของฮอร์โมนอีสโทรเจนและโพรเจสเทอโรนที่มีผลต่อการเจริญของเยื่อบุมดลูกและรอบประจำเดือน

        คอร์ปัส ลูเทียม จะทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนประมาณ 10 สัปดาห์ แล้วรก(placenta) จะมาทำหน้าที่แทน แต่ถ้าไข่ไม่ได้รับการผสมจากอสุจิ คอร์ปัสลูทีลจะหลั่งฮอร์โมนลดลงและเปลี่ยนเป็นสีขาว เรียกว่าคอร์ปัสอัลปิเเคน (corpus albican) และจะสลายไปประมาณวันที่ 12 หลังไข่ตก(secretory phase) และอีกประมาณ 2 – 3 วันจะมีประจำเดือน(menstruation) ซึ่งมีคำกล่าวว่า “ ประจำเดือนคือน้ำตาเลือดจากครรภ์ที่ประสบความผิดหวัง” (menstruation is the bloody tears from a disappointed womb) ระดับของฮอร์โมนจะลดลงอย่างรวดเร็วไปกระตุ้น เอฟ เอส เอช (FSH) ให้ทำงานใหม่อีกครั้ง ระยะนี้ระยะเวลานี้ ไม่ค่อยคลาดเคลื่อน ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 14 วัน ในวันที่ไข่ตกอุณหภูมิของร่างกายจะลดลง หลังจากนั้นอุณหภูมิจะสูงขึ้น

 

       ประจำเดือน (menstruation ) คือ การที่ผนังชั้นในของมดลูกหลุดออก แล้วถูกขับออกมา ทางช่องคลอด เนื่องจากไม่มีการปฏิสนธิ ผนังชั้นใน หรือ เยื่อบุจะสลายออกมา มีส่วนประกอบคือเลือดและเมือก

ระยะการเจริญของไข่ การตกไข่ ระยะเวลาในการเจริญของตัวอ่อน ความหนาของเยื่อบุมดลูกและที่เตรียมพร้อมในการตั้งครรภ์

 

ท่านทราบหรือไม่ สมัยก่อนบาทหลวงจะใช้วิธีจับตัวภรรยาว่าถ้าตัวร้อนแสดงว่าภรรยาตกไข?

      บาทหลวงบางนิกายสามารถมีภรรยาแต่เป็นข้อห้ามทางศาสนาที่ไม่ให้ใช้การคุมกำเนิด แต่จากความสังเกตพบว่าถ้าภรรยาตัวร้อนขึ้นแสดงว่าถ้ามีเพศสัมพันธ์ช่วงนี้อาจต้องครรภ์ ได้ จึงใช้วิธีธรรมชาตินี้ซึ่งสอดคล้องกับความเป็นจริงที่ระยะตกไข่อุณหภูมิจะลดลง(ซึ่งคงสังเกตยาก)และเพิ่มขึ้นในระยะหลังตกไข่

 

สังเกตหรือเปล่าว่าในน้ำผลไม้บางชนิดเช่นน้ำมะพร้าวจะมีฮอร์โมนอีสโทรเจนอยู่ ถ้าดื่มจำนวนมากประจำเดือนจะหายไปได้

 

การควบคุมการหลั่งฮอร์โมน

การควบคุมการหลั่งฮอร์โมนอีสโทรเจนและโพรเจสเทอโรน

 

        1. เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ไฮโพทาลามัส จะหลั่งฮอร์โมนโกนาโดโทรปิน รีรีสซิง ฮอร์โมน(GnRH) ออกมากระตุ้นต่อมใต้สมองส่วนหน้า

        2. ต่อมใต้สมองส่วนหน้าจะ ผลิตฮอร์โมน FSH และ LH ออกมา กระตุ้นให้ไข่ที่รังไข่ของสตรีเจริญเติบโตขึ้น

        3. ไข่ที่เจริญจะผลิตฮอร์โมนอีสโทรเจนและโพรเจสเทอโรนออก ทำให้เยื่อบุมดลูกเจริญขึ้น ทำให้เป็นสาวและมีผลต่ออวัยวะเป้าหมาย

        4. ปริมาณของอีสโทรเจนและโพรเจสเทอโรนที่เพิ่มขึ้นจะไปยับยั้งไฮโพทาลามัสให้ลดการหลั่ง GnRH   ซึ่งทำให้การสร้างฮอร์โมนลดน้อยลง