เมื่อมีการตกไข่ ไข่จะเคลื่อนที่ไปในท่อนำไข่โดยการพัดโบกของขนเซลล์ (cilia) ของท่อนำไข่ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากฮอร์โมนอีสโทรเจน เมื่อมีการผสมระหว่างอสุจิและไข่ เกิดการปฏิสนธิขึ้น (fertilization) จนเคลื่อนที่มาถึงมดลูกซึ่งเป็นระยะบลาสโตซิสท์ (blastocyst) มีจำนวนเซลล์ประมาณ100 เซลล์ แล้วจะฝังตัวที่โพรงมดลูกประมาณวันที่ 6-7 หลังจากตกไข่ แล้วเซลล์โทรโฟบลาสท์ (trophoblast) ของบลาสโตซิสจะยึดกับเนื้อเยื่อของมดลูก เจริญไปเป็นรก (placenta) ดังนั้นรกจึงเป็นส่วนหนึ่งของทารก แต่จะอยู่นอกตัวทารกในมดลูกของมารดา

        

 

                         การตกไข่ การปฏิสนธิ การแบ่งเซลล์ และการฝังตัวของตัวอ่อนที่โพรงมดลูกซึ่งใช้เวลาประมาณ 7 วัน ดังภาพ ภายหลังการฝังตัวของตัวอ่อน ส่วนเซลล์โทรโฟบลาสทจะเจริญไปเป็นรก  รกจะทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนมาควบคุมการตั้งครรภ์ให้ดำเนินต่อไป

           รกเป็นโครงสร้างที่เชื่อมระหว่างมดลูกของมารดาและทารก  รกจะติดอยู่กับผนังด้านในของมดลูก เสมือนเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของตัวมารดา โดยจะมีสายสะดือเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างรกกับทารก   การจะดำเนินการตั้งครรภ์ต่อไปได้ต้องอาศัยฮอร์โมนหลายชนิด

 

                รกเป็นบริเวณที่ระบบไหลเวียนโลหิตของมารดาและทารกมาพบกัน โดยเชื่อมต่อสายสะดือของทารกกับมดลูก ของมารดา รกทำหน้าที่ 2 ประการคือ

        - ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนอาหาร อากาศและของเสียจากทารกในครรภ์ของทารกในครรภ์

        - ทำหน้าที่เป็นต่อมไร้ท่อชั่วคราวในมดลูก ซึ่งสามารถผลิตฮอร์โมนมากมายที่จำเป็น ระหว่างตั้งครรภ์และเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับกลไกลการเจ็บครรภ์รวมทั้งฮอร์โมนอีสโทรเจน และฮอร์โมน
โพรเจสเทอโรน

    ก) ทารกในครรภ์ต้องอาศัยรกในการแลกเปลี่ยนอาหาร อากาศ และของเสียจากทารกในครรภ์

ข) เส้นเลือดของทารกจะแช่จุมอยู่ใกล้ชิดกับเส้นเลือดมารดาเพื่อแลกเปลี่ยนอาหาร อากาศ และของเสียจากทารกในครรภ์

 

        รกสร้างฮอร์โมนหลายชนิดที่สำคัญ ได้แก่

       1. ฮอร์โมนโพรเจสเตอโรน

      ในช่วงแรกประมาณ 6-8 สัปดาห์จะได้รับฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนจากคอร์ปัส ลูเทียมที่รังไข่ หลังจากนั้นรกจะทำหน้าที่ในการผลิตฮอร์โมนโพรเจสเตอโรนเพิ่มขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ เป็นฮอร์โมนที่สำคัญมาก ที่จะทำให้การตั้งครรภ์ สามารถดำเนินต่อไปได้ โดยการยับยั้งการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูก ทำให้ร่างกายไม่กำจัด ทารกซึ่งถือว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมของร่างกายออกมาโดยไปกดภูมิคุ้มกันของร่างกาย

ฮอร์โมนที่สร้างส่วนใหญ่เข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตของมารดาส่วนน้อยที่ผ่านไปยังทารก

แสดงระดับฮอร์โมนต่างๆ ระหว่างการตั้งครรภ์

             จะเห็นว่าในระยะแรกของการตั้งครรภ์ ระดับของHCGซึ่งสร้างจากรกจะสูงมากและฮอร์โมนอีสโทรเจนและโพรเจสเทอโรนที่สร้างจากคอร์ปัส ลูเทียมยังคงสูงอยู่  ซึ่งทำให้ไม่มีประจำเดือนและทำให้เยื่อบุมดลูกเจริญ เมื่อรกทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนอีสโทรเจนและโพรเจสเทอโรนได้มากขึ้น (ภาพกลาง) คอร์ปัส ลูเทียมจะทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนน้อยลงและหมดหน้าที่ไป (ภาพสุดท้าย) และระดับของ HCG จะลดลง เมื่อระยะเวลาการตั้งครรภ์มากขึ้น รกจะผลิตฮอร์โมนอีสโทรเจนและโพรเจสเทอโรนได้มากขึ้น

       2. ฮอร์โมนอีสโทรเจน

       การสร้างฮอร์โมนนี้จะไม่เหมือนกับที่รังไข่ เพราะรกไม่มีเอนไซม์ 17 - βไฮดรอกซิเลสที่จะเปลี่ยนโพรเจสเตอโรน หรือ เพรกนีโนโลน(pregnenolone) เป็นอีสโทรเจน จึงต้องอาศัยสเตอรอยด์ที่สร้างมาจากต่อมหมวกไตของแม่ และของทารกแทน โดยเซลล์โทรโฟบลาสท์จะใช้ดีไฮโดรอิพิแอลโดรสเตอโรน ซัลเฟต (DHEA-S) ที่ผลิตจากต่อมหมวกไตของแม่ และของทารกมาเป็นสารตั้งต้นที่จะผลิตอีสตรา
ไดออล 17 เบต้า อีสโตรนจะถูกหลั่งมาที่เลือดแม่ แต่อีสตราไดออลจะถูกต่อมหมวกไต ของทารกเปลี่ยนไปเป็น อีสไทรออล กลับมาที่รกเพื่อเข้ากระแสเลือดแม่ หน้าที่ของอีสโทรเจนในการตั้งครรภ์ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่พบว่าในขณะใกล้คลอดจะมีปริมาณของอีสโทรเจนสูง และอีสโทรเจนทำให้มีเลือดมาเลี้ยงที่มดลูกมาก

 

       3. ฮอร์โมนฮิวแมนคอริโอนิกโกนาโดโทรฟิน (human chorionic gonadotropin: HCG)

          ฮอร์โมนฮิวแมนคอริโอนิกโกนาโดโทรฟินเป็นไกลโคโปรตีน มี 2 หน่วยคือ สายแอลฟาและสายเบตา สายแอลฟาประกอบด้วยกรดอะมิโน 92 ตัว สายเบตามีกรดอะมิโน 145 ตัว เป็นฮอร์โมนที่สร้างมาจากถุงน้ำคร่ำที่อยู่ติดกับมดลูก (chorian) สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่วันที่ 8 ของการปฏิสนธิ ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ ปริมาณ HCG จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็วโดยจะมีประมาณ 100 IU/L ในวันที่ที่ขาดประจำเดือน และ100,000 IU/L ขณะอายุครรภ์ 8-10 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะลดลงเหลือประมาณ 10,000 – 20,000 IU/L และคงที่ตลอดการตั้งครรภ์

   

         1. ทำให้คอร์ปัสลูเทียมผลิตฮอร์โมนอีสโทรเจนและโพรเจสเตอโรนต่อ

         2. ทำให้ผนังมดลูกพร้อมในการฝังตัวของตัวอ่อนคือมีเลือดมาเลี้ยงจำนวนมาก และยับยั้งการทำงานของโกนาโดโทรปินจากต่อมใต้สมองไม่ให้มีการเจริญของไข่ในรอบต่อไป

         3. กระตุ้นเลย์ดิกเซลล์ในอัณฑะให้สร้างฮอร์โมนโพรเจสเตอโรน เพราะสายเบตาของเอชซีจี มีลักษณะคล้ายกับ ฮอร์โมนแอลเอช (LH) ที่สร้างจากต่อมใต้สมองโดยมีกรดอะมิโน 121 ตัวแรกที่เหมือนกันถึงร้อยละ 80

         4. กระตุ้นการทำงานต่อมไทรอยด์ โดยเอชซีจี สามารถจับกับตัวรับสัญญาณของทีเอสเอช (TSH) เพื่อกระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์

        ประโยชน

         1. การศึกษาการทำงานของฮอร์โมน HCG ทำให้มีการสร้างเครื่องทดสอบการตั้งครรภ์ (over the counter kit : OTC kit) ได้ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ (antigen antibody reaction) ใช้วินิจฉัยการตั้งครรภ์ ซึ่งทำได้เร็ว

         2. ช่วยวินิจฉัยการตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก (molar pregnancy คำว่า molar มีรากศัพท์จากคำว่า mole  หมายถึงเม็ดเล็กๆ คล้ายไฝ หรือ องุ่น  molar pregnancy เป็นการตั้งครรภ์ที่ไม่มีตัวทารก แต่มีเป็นถุงน้ำเล็กๆ คล้ายไฝหรือองุ่นเหล่านี้แทน) ผู้ที่มีภาวะนี้จะมีฮอร์โมนเอชซีจี สูงมาก 3-10 เท่าของการตั้งครรภ์ปกติ

 

       4. ฮอร์โมนที่มีผลเหมือนโพรแลคตินและโกรทฮอร์โมนจากรก (human chorionic somatomamotrophin, hCS หรือ human placental lactrogen, hPL)

      hCS เป็นเปปไทด์ฮอร์โมนที่ประกอบด้วยกรดอะมิโน 191 หน่วย มีผลคล้ายโพรแลคทินและโกรทฮอร์โมน เช่นการสลายไขมันเพื่อให้เลือดแม่และทารกมีกรดไขมันสูงขึ้น ยับยั้งการนำกลูโคสเข้าเซลล์แม่ ทำให้ร่างกาย ต้องหลั่งอินซูลินเพิ่มมากขึ้น และยับยั้งการสังเคราะห์กลูโคสจากสารอาหารอื่น ทำให้สารอาหารประเภทโปรตีน และกลูโคสผ่านไปยังทารกมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีส่วนกระตุ้น ให้มีการเปลี่ยนแปลง ของเต้านม เพื่อเตรียมในการผลิต น้ำนมมากยิ่งขึ้น