|
สาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบนพื้นผิวโลกได้แก่
น้ำ ลม ความโน้มถ่วงโลก และสิ่งมีชีวิต ซึ่งตัวการข้างต้นจะทำให้เกิดการผุพัง
(weathering) (ภาพที่ 1.21) การกร่อน (erosion) (ภาพที่ 1.22)
การพัดพา (transportation) และการสะสมตัว (deposition) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงผิวโลกให้อยู่ในสภาพสมดุล
การเปลี่ยนแปลงภูมิลักษณ์บนพื้นผิวโลกเกิดขึ้นได้หลายแบบและการเคลื่อนที่ของมวล
มีหลายลักษณะ เมื่อเกิดขึ้นจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิลักษณ์
เช่น
แผ่นดินถล่ม (landslides) เป็นลักษณะของการเคลื่อนที่ของมวลในพื้นที่ลาดชันที่ภูเขา
มักจะเกิดขึ้นในฤดูฝนในพื้นที่ภูเขา เมื่อเกิดแผ่นดินถล่มจะทำให้ภูเขาเปลี่ยนรูป
กระแสน้ำจะกัดเซาะหินและดินบนภูเขาลงมาสู่ที่ราบ เกิดน้ำท่วมหลากที่สร้างความเสียหาย
ให้กับประชาชนบนพื้นราบและในขณะเดียวกันก็พัดพาเอาตะกอนลงมาสะสมในที่ราบเชิงเขาเป็นลักษณะของเนินตะกอนน้ำพารูปพัด
(alluvial fan) |
|
ภาพที่ 1.21 แสดงการเปลี่ยนแปลงบนพื้นผิวโลกเนื่องจากการผุพังอยู่กับที่
|
จากภาพที่
1.21 หินที่มีรอยแตก เมื่อมีเมล็ดพืชซึ่งถูกลมพัดพามาตกเข้าไปในรอยแตก
ร่วมกับมีฝนตกก็จะทำให้เมล็ดมีความชื้น และงอก ต่อมาเมื่อพืชโตขึ้น
รากก็จะชอนไชทำให้หินแตกเพิ่ม และเร่งกระบวนการผุพังให้เกิดเร็วขึ้น
(weathering)
|
|
ภาพที่ 1.22 แสดงการเปลี่ยนแปลงบนพื้นผิวโลกเนื่องจากการกร่อน
|
จากภาพที่
1.22 น้ำฝนที่ตกลงมาจะทำปฏิกิริยากับคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอยู่ในอากาศได้กรดคาร์บอนิก
ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้เกิดการผุพังสลายตัวกลายเป็นเศษหินขนาดต่างๆ
กัน และเกิดการะลายของกลุ่มหินคาร์บอเนตหลังจากนั้นตะกอนทั้งหมดจะเคลื่อนที่ลงมาตามแนวลาดชัน
เกิดเป็นมวลชะล้าง การเคลื่อนที่ของตะกอนขึ้นอยู่กับขนาดของมวล
คือถ้ามวลมีมากจะเคลื่อนที่ช้า ถ้าน้อยการถูกพัดพา หรือ เคลื่อนที่ก็จะเร็วขึ้น
และด้วยแรงน้ำที่มากก็จะค่อยๆ เกิดการกัดกร่อน ตะกอนไปสะสมตัวทับถมกัน
ณ ที่ใดที่หนึ่งเกิดเป็นภูมิลักษณ์รูปแบบอื่นต่อไป
|
การผุพังและการกร่อนกับธรณีสัณฐาน
การเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีภาคอย่างต่อเนื่องทำให้เปลือกโลกมีภูมิลักษณ์ที่ยกตัวสูงขึ้น
เช่น เป็นภูเขาสูง รูปร่างของภูมิลักษณ์ที่เกิดขึ้นนี้มีการเปลี่ยนแปลงต่อไปได้อีกจากการกระทำของลม
คลื่น สายฝน สายน้ำ แสงแดด แรงโน้มถ่วงของโลก สิ่งมีชีวิต รวมทั้งจากธารน้ำแข็งในภูมิประเทศขั้วโลก
เป็นต้น ผลจากการเปลี่ยนแปลงที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนได้แก่
การผุพัง ซึ่งการผุพังนี้แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ การผุพังทางกายภาพ
และ การผุพังทางเคมี
|
|
ภาพที่ 1.23 ลักษณะของหินที่ลานหินงาม อ. เทพสถิตย์ จ.ชัยภูมิ
ที่เกิดจากอิทธิพลของ
การพัดพาของน้ำ และ ลมจนทำให้เกิดหินในรูปลักษณ์ต่างๆ กัน
|
การผุพังทางกายภาพ
(physical weathering) |
การผุพังทางกายภาพ
เป็นการผุพังที่เกิดขึ้นกับมวลหินแร่ในเชิงกล เช่น การแตกหักของหินที่เกิดจากการหด
ขยายตัวเนื่องจากอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง การแตกหักด้วยแรงน้ำ
คลื่นลม เป็นต้น
|
ความร้อน
และน้ำค้างแข็งเมื่อไปเกาะที่หินนานๆ หินก็จะผุพัง น้ำแข็งทำให้รอยแยกขยายเพิ่มขึ้นได้การผุพังทางกายภาพ
เป็นการเปลี่ยนรูปร่างของหินที่ประกอบกันอยู่ในพื้นที่ หรือการที่หินแตกแยกออกแต่ยังคงอยู่กับที่
การผุพังทางกายภาพจึงเป็นการเปลี่ยนรูปร่างภายนอก ส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับแรงกระทำที่มีทั้งการหดตัว
และการขยายตัวของเนื้อหินจากสาเหตุต่างๆ แล้วทำให้หินนั้นแตกออก
เช่น น้ำฝนที่แทรกซึมเข้าไปในเนื้อหินทำให้เกิดช่องว่างในเนื้อหินแล้วทำให้เกิดรอยแตกในเนื้อหิน
หรือการแปรสัณฐานที่ทำให้หินเกิดเป็นรอยแตก รอยแยก (ภาพที่1.24
)
|
|
ภาพที่ 1.24 การเกิดรอยแยกของหินที่เกิดขึ้นภายหลังจากน้ำ
หรือความชื้นในหินแห้งระเหยไปหมดหรือเกือบหมด
|
นอกจากนั้นการหดตัวของหิน
/ แร่ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอากาศเนื่องมาจากอุณหภูมิในฤดูร้อน
ฤดูหนาว หรือกลางวัน กับกลางคืน ก็ทำให้หินที่เกิดในพื้นที่นั้นมีการแตกออก
สิ่งมีชีวิต เช่น ต้นไม้ มีรากชอนไชเข้าไปตามชั้นหิน เมื่อเจริญเติบโตขึ้นมาก็ทำให้หินนั้นแตกออกก็จัดเป็นการผุพังทางกายภาพเช่นกัน
(ภาพที่1.25)
|
|
ภาพที่ 1.25 ต้นไม้รากไม้สามารถขยายรอยแตก และรอยแยกในหินไดโอไรต์
บริเวณขามัน อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
|
ผลจากการผุพังทางกายภาพเมื่อเกิดขึ้นเป็นบริเวณกว้างๆ
ณ ที่ใดที่หนึ่งแล้ว อาจจะทำให้พื้นผิวโลกบริเวณนั้นเปลี่ยนไปเกิดเป็นภูมิลักษณ์รูปแบบเฉพาะใหม่ขึ้นมา
เช่น แพะเมืองผี จ.แพร่ ป่าหินงาม จ.ชัยภูมิ ซึ่งเกิดจากการผุพังโดยน้ำโดยเฉพาะน้ำฝน
น้ำไหล และลม (ภาพที่1.26)
|
|
ภาพที่ 1.26 แสดงให้เห็นภูมิลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของป่าหินงาม
อันเนื่องจาก
การกัดกร่อนและผุพังทางกายภาพได้แก่ น้ำ และลม
|
|
|
-
สาเหตุของการผุพังทางกายภาพเกิดจากอะไรได้บ้าง
- การผุพัง (weathering) และการกัดกร่อน (erosion)
ต่างกันอย่างไร |
|
|
|
การผุพังทางเคมี
(chemical weathering)
น้ำเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
การผุพังทางเคมี เป็นกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นในเนื้อหินแล้ว
ทำให้หินเปลี่ยนทั้งรูปทรงและส่วนประกอบของเนื้อหิน ชนิดของปฏิกิริยาการผุพังทางเคมีแบ่งออกได้ดังนี้
|
|
1. กระบวนการออกซิเดชัน - รีดักชัน
เป็นปฏิกิริยาที่มีการให้และรับอิเล็กตรอน ตัวอย่างเช่น
3Fe+2SiO3 + 1/2O2--------> Fe3O4
+ 3SiO2
ไพรอกซีน ออกซิเจน
แมกนีไทต์
ควอซต์
2. ปฏิกิริยาไฮโดรลิซีส (hydrolysis) เป็นปฏิกิริยาที่มีน้ำเข้าร่วมทำปฏิกิริยา
โดยจะมี H+ และ OH- เข้าไปแทนที่ไอออนในหิน
ยกตัวอย่าง เช่น
4KAlSi3O8 + 4H+ + 2H2O
--------> 4K+ + Al4Si4O10
(OH)8 + 8SiO2
3. ปฏิกิริยาชะล้าง (leaching) เป็นการเคลื่อนย้ายของไอออน ซึ่งจากตัวอย่างข้อ2
คือปฏิกิริยาไฮโดรลิซีส K+ ถูกชะล้างออกไป
4. การขับน้ำออกจากปฏิกิริยา (dehydration) เป็นการขับน้ำออกจากหินตัวอย่าง
เช่น
2FeO:OH --------> Fe2O3 + H2O
เกอไทต์ ฮีมาไทต์
น้ำ
5. การละลายที่สมบูรณ์ (complete dissolution) ตัวอย่าง เช่น
CaCO3 + H2CO3 -------->
Ca2+ + 2(HCO3)-
แคลไซต์ กรดคาร์บอนิก
แคลเซียมไอออน ไบคาร์บอเนต |
หินแต่ละชนิดเมื่อทำปฏิกิริยาเคมีกับน้ำแล้วจะได้แร่ชนิดใหม่เกิดขึ้นดังตารางที่
1 |
ตารางที่ 1 ตัวอย่างของชนิดหินที่ทำปฏิกิริยาเคมีแล้วได้แร่ใหม่เกิดขึ้น |
ชนิดหิน |
แร่เริ่มต้น |
แร่ที่เกิดบนผิวโลก |
ไอออนที่ถูกชะล้าง |
แกรนิต |
เฟลด์สปาร์
ไมกา
ควอซต์
แร่ Fe-Mg |
แร่ดิน
แร่ดิน
ควอซต์
แร่ดินเหนียว, เฮมาไทต์, เกอไทต์ |
Na+,
K+
K+
----
Mg2+ |
หินบะซอลต์ |
เฟลด์สปาร์
แร่ Fe-Mg
แมกนีไทต์ |
แร่ดิน
แร่ดิน
เฮมาไทต์, เกอไทต์ |
Na+,
Ca2+
Mg2+
---- |
หินปูน |
แคลไซต์
|
ไม่มี |
Ca2+, CO32- |
|
|
|
สาเหตุของการผุพังทางเคมีมีอะไรบ้าง
|
|
|
|
|
กระบวนการเปลี่ยนแปลงบนพื้นผิวโลกอีกทางหนึ่งคือ
การเปลี่ยนแปลงโดยทางน้ำ ซึ่งทางน้ำในที่นี้ หมายถึง น้ำที่ไหลมาตามลำน้ำทั้งหมด
ทั้งแม่น้ำ ลำคลอง ลำห้วย เป็นต้น ภูมิลักษณ์บนผิวโลกส่วนหนึ่งกำเนิดมาจากการสะสมโดยทางน้ำหลายยุคหลายสมัยทางธรณีกาล
พื้นที่เหล่านี้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยผ่านกระบวนการต่างๆ ทางธรณีวิทยา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการผุพังและการกร่อน
นักธรณีวิทยาพบว่า ทางน้ำทั้งหลายที่ไหลผ่านพื้นผิวโลกมีการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะๆ
โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือระยะเริ่มต้น หรือ ยุคต้น (youth)
ยุคกลาง (maturity) และ ยุคปลาย (old age) แต่ละช่วงอายุเหล่านี้จะให้ภูมิลักษณ์ที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของหิน
ระดับความสูงของพื้นที่ และฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละปี
ในพื้นที่ที่เป็นภูเขา ทางน้ำพัฒนาขึ้นมาตามความลาดชันของพื้นที่
กระแสน้ำจะกัดเซาะหินที่ไหลผ่าน ถ้าบริเวณที่น้ำไหลผ่านมีระดับน้ำต่างกัน
ก็จะเกิดเป็นน้ำตก ถ้าทางน้ำกัดเซาะชั้นหินที่ขวางทางน้ำในพื้นที่ค่อนข้างราบก็จะกลายเป็นแก่ง
(rapids) และในชั้นหินที่เอียงเทน้อย มักจะเกิดหลุมกลมที่เรียกว่า
กุมภลักษณ์ (potholes) (ภาพที่ 1.27) ซึ่งกุมภลักษณ์นั้นเกิดจากการกัดเซาะโดยกรวดที่พัดพามากับสายน้ำ
และทางน้ำเมื่อผ่านพื้นที่ราบที่ชั้นหินอยู่ลึกและมีดินคลุม
การกัดเซาะก็จะเกิดขึ้นได้ง่าย เกิดเป็นทางคดเคี้ยวมาก เรียกว่า
ทางน้ำโค้งตวัด
(meander stream) ทางน้ำลักษณะนี้จะมีการกัดเซาะน้อยลง ส่วนมากจะมีการสะสมตะกอนในช่วงน้ำหลาก
เกิดเป็นที่ราบน้ำท่วมถึง (flood plain) และเมื่อระดับน้ำลด
กระแสน้ำเปลี่ยน แนวการไหลตัดขาดจากทางน้ำเดิม ส่วนของทางเดิมที่ถูกละทิ้งไว้ก็จะเป็นทะเลสาบรูปแอก
(oxbow lake) และรอยโค้งตวัด (meander scars) ซึ่งทางน้ำที่มีลักษณะโค้งตวัดแบบนี้จัดเป็นทางน้ำยุคปลาย |
|
ภาพที่ 1.27 ลักษณะของกุมภลักษณ์ (pothole) บริเวณแหล่งตัดหินในภาพ
อ.สีคิ้ว
ที่เกิดจากการพัดพาของตะกอนด้วยแรงน้ำมากทำให้กลายเป็นหลุมใหญ่เกิดขึ้น
|
|
|
มีคนกล่าวว่า
ลักษณะรูปร่างของแม่น้ำที่เป็นรูปตัว V และรูปตัว
U สามารถบ่งบอกอายุของแม่น้ำได้ คุณมีความคิดเห็นเพิ่มเติมอย่างไรบ้าง |
|
|
|
การกัดกร่อนด้วยน้ำใต้ดิน
ฝนที่ตกลงมาสู่ภูมิลักษณ์แบบต่างๆ จะซึมซาบลงไปในดิน บริเวณที่เป็นหินปูนที่มีภูมิลักษณ์แบบคาสต์
(karst landform) ซึ่งหินปูนละลายน้ำได้ง่าย น้ำบางส่วนที่ไหลซึมลงไปตามรอยแตก
รอยแยกในหินปูน ทำให้ช่องว่าง/โพรงในหินปูนบริเวณนั้นขยายกว้างขึ้นและกระบวนการนี้เกิดขึ้นในหินปูนที่อยู่ใต้ดินด้วย
การกัดเซาะด้วยน้ำส่วนมากจะเกิดอยู่ตามแนวระนาบชั้นหินปูน
(bedding plane) และตามรอยแตก (joint) ที่ตัดแนวชั้นหินและอาจจะเกิดการกัดเซาะจากทางน้ำใต้ดินที่มีระดับน้ำเอ่อล้นอยู่นาน
การกัดเซาะจากน้ำจะทำให้ปูนถูกชะล้างละลายออกไป
ในที่สุดก็จะมีภูมิลักษณ์เป็นโพรงถ้ำ เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ และระดับน้ำจะลดลงเรื่อยๆ
ซึ่งการลดลงของระดับน้ำจะทำให้เกิดการกัดเซาะในทางลึกลงไปเรื่อยๆ
จนถึงชั้นหินที่มีความทนทานสูง การกัดเซาะในหินปูนจะเกิดเป็นอุโมงค์ถ้ำยาวตามทางน้ำ
และเมื่อทางน้ำเริ่มไหลไปกัดเซาะแนวอื่น พื้นที่ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะเดิมก็จะเป็นห้องโถงแห้งในถ้ำ
ถ้าถ้ำถูกกัดเซาะภายในมากและขยายพื้นที่ออกจนทำให้เพดานถ้ำพังลงมา
ทำให้เกิดเป็นหลุมลึกค่อนข้างกลมอยู่บนผิวเหนือเพดานถ้ำ (doline)
บางครั้งก็เรียกว่า หลุมยุบ (sink hole) ถ้าหลุมนั้นถูกกัดเซาะด้วยน้ำที่ไหลเซาะลงไป
ทำให้เกิดการพังทลายเป็นช่องตรงจากบนลงล่าง สารละลายแคลเซียมคาร์บอเนตในถ้ำที่ถูกน้ำใต้ดินแทรกซึมเข้าไป
จะตกผลึกแร่แคลไซต์ใหม่ ณ ที่นั้นจากผนังถ้ำลงมา ส่วนคาร์บอนไดออกไซด์ก็จะค่อยๆ
หายไปจากเดิมทำให้น้ำมีสภาพเป็นกรดอ่อน สามารถจับแร่
แคลไซต์ให้ตกผลึกลงมาเป็นหินย้อย (stalactites) และเมื่อน้ำนี้หยดถึงพื้นก็จะทำให้แคลไซต์สะสมพอกพูนขึ้นเป็นหินงอก
(stalagmite)
|
นอกจากนั้นแคลไซต์ยังมีการตกตะกอนจากทางน้ำใต้ดินที่ไหลผ่านไปตามพื้นในอดีต
มีการพอกพูนขึ้นเป็นเหมือนตะพักและคั่นบันไดสวยงาม เช่น บริเวณน้ำตกเอราวัณในจังหวัดกาญจนบุรี
ถ้ำในประเทศไทยมีมากมายในพื้นที่หินปูน มีทั้งถ้ำที่ยังคงมีทางน้ำใต้ดินไหลอยู่ภายใน
และถ้ำลอดซึ่งทางน้ำในถ้ำไหลผ่านออกมาสู่พื้นที่ด้านนอก ถ้ำเป็นภูมิลักษณ์ที่อ่อนไหวมาก
ต้องมีการอนุรักษ์ความชื้นในถ้ำเป็นพิเศษ เพื่อรักษาสภาพธรรมชาติของถ้ำให้ยั่งยืน
|