บทความทั่วไป (General-Articles)
1
โพสต์
1
ผู้ใช้
0
Reactions
4,809
เข้าชม
หัวข้อเริ่มต้น 27/06/2022 3:04 pm
- วิตามินซี (Vitamin C)
- ประโยชน์: เป็นวิตามินชนิดที่ละลายน้ำที่มนุษย์ไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ โดยประโยชน์ของวิตามินซีมีมากมาย
- เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
- มีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว
- ช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอจากอนุมูลอิสระในร่างกาย
- ช่วยในการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อในร่างกาย
- ฟื้นฟูร่างกายหลังจากออกกำลังกาย เพราะช่วยลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ
- รักษาและป้องกันโรคลักปิดลักเปิด หรือเลือดออกตามไรฟัน
- ช่วยลดอาการภูมิแพ้
- ช่วยดูดซึมแร่ธาตุบางชนิดได้ดีขึ้น เช่น ธาตุเหล็ก
- ทำให้แผลหายเร็วขึ้น
- ช่วยสร้างคอลลาเจน
- บำรุงผิวพรรณ และดีต่อสุขภาพผู้หญิง
- เวลาที่ควรกิน:
- เด็ก อายุไม่ถึง 15 ปี ต้องการวิตามินซี 30-50 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ก็สามารถกินเพิ่มได้ถึง 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน ไม่ควรเกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน
- อายุ 15 ปีขึ้นไป ควรได้รับวิตามินซี 75-90 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ก็สามารถกินเพิ่มได้ถึง 1,000-2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ในกรณีที่ต้องการป้องกันหรือรักษาโรคบางชนิด เช่น หวัด หรือเลือดออกตามไรฟัน
- ควรกินพร้อมอาหารหรือหลังอาหารจะดีที่สุด
- แบ่งกินวิตามินซีครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ 2-6 เม็ด จนครบขนาดที่แนะนำ เพราะวิตามินซีมีจุดอิ่มตัวในการดูดซึม ร่างกายเราจะดูดซึมวิตามินซีในปริมาณน้อย ๆ ได้ดีกว่าปริมาณมาก
- ประโยชน์: เป็นวิตามินชนิดที่ละลายน้ำที่มนุษย์ไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ โดยประโยชน์ของวิตามินซีมีมากมาย
- วิตามินบี (Vitamin B)
- ประโยชน์: เป็นวิตามินชนิดที่ละลายในน้ำ และวิตามินบีแต่ละชนิดมีประโยชน์ดังนี้
- วิตามิน B1 มีหน้าที่เผาผลาญน้ำตาลที่เรารับประทานเข้าไปให้เกิดเป็นพลังงาน ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง และโรคเหน็บชา ช่วยบำรุงประสาท กล้ามเนื้อ ช่วยให้หัวใจทำงานเป็นปกติ หากร่างกายขาดวิตามิน B1 จะทำให้อ่อนเพลีย ชาตามนิ้วมือ นิ้วเท้า และส่งผลเสียต่อกล้ามเนื้อหัวใจ
- วิตามินบี B2 มีประโยชน์ในเด็กที่กำลังเจริญเติบโต ป้องกันการเกิดแผลในช่องปาก รวมถึงโรคปากนกกระจอก ช่วยป้องกันการเกิดไมเกรน ทำให้ผิวหนัง เล็บ เส้นผมมีสุขภาพดี และลดการเกิดมะเร็งหลอดอาหาร
- วิตามินบี B3 ช่วยเผาผลาญอาหาร ทำให้เกิดพลัง และสร้างไขมันในร่างกาย ช่วยทำลายสารพิษจากควันบุหรี่ มลพิษ รักษาภาวะเครียด และช่วยการไหลเวียนของเลือด
- วิตามิน B5 มีความจำเป็นต่อการทำงานของสมอง ช่วยเรื่องการนอนหลับ และควบคุมสมดุลเกลือแร่ในร่างกาย บรรเทาอาการข้ออักเสบ ลดระดับคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์
- วิตามิน B6 จำเป็นต่อการทำงานของระบบประสาทและสมอง เสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้แข็งแรง ช่วยชะลอวัย และมีหน้าที่สำคัญเรื่องการเผาผลาญโปรตีนในร่างกาย ช่วยปรับสภาพผิวหนังให้เป็นปกติ
- วิตามิน B7 ช่วยป้องกันผมหงอก รักษาโรคเกี่ยวกับเส้นผม และหนังศีรษะ บำรุงรักษาเล็บที่แห้งเปราะ ช่วยในการเผาผลาญไขมัน และโปรตีน บรรเทาอาการผื่นผิวหนังอักเสบ ผดผื่นคันต่าง ๆ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- วิตามิน B9 ช่วยบำรุงผิวพรรณและสุขภาพ แก้ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ ช่วยชะลอการเกิดผมขาว หากรับประทานร่วมกับพาบา และวิตามิน B5 จะช่วยให้เจริญอาหาร หากร่างกายอ่อนเพลีย ช่วยป้องกันแผลร้อนในได้ ช่วยรักษาภาวะซีดหรือโลหิตจาง ป้องกันพยาธิในลำไส้ และอาการแพ้จากอาหารเป็นพิษ ป้องกันภาวะพิการในทารกแรกเกิด ช่วยในการสร้างน้ำนมของมารดาหลังคลอดบุตร ช่วยลดระดับกรดอะมิโนโฮโมซิสเทอีนในเลือด และลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจได้
- วิตามิน B12 มีความจำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือด การทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง และระบบทางเดินอาหาร ป้องกันการอ่อนเพลียจากโรคโลหิตจาง
- เวลาที่ควรกิน
- ควรกินในตอนเช้าขณะที่ท้องว่างจะดีที่สุด เพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้ดี หรือถ้ากินตอนท้องว่างแล้วรู้สึกระคายเคืองกระเพาะอาหาร แนะนำให้กินระหว่างมื้ออาหารเช้า หรือหลังอาหารเช้าแทน จะช่วยกระตุ้นระบบประสาท ให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า พร้อมทำกิจกรรมต่าง ๆ
- ประโยชน์: เป็นวิตามินชนิดที่ละลายในน้ำ และวิตามินบีแต่ละชนิดมีประโยชน์ดังนี้
- วิตามินอี (Vitamin E)
-
- ประโยชน์: เป็นหนึ่งในวิตามินที่ละลายในไขมันได้ดี ร่างกายจำเป็นต้องใช้วิตามินอีเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์
- ป้องกันการแตกของเม็ดเลือด
- ป้องกันการอุดตันของเม็ดเลือด
- ต่อต้านอนุมูลอิสระ
- และป้องกันการอักเสบ
- ช่วยรักษาโรคต่าง ๆ เช่น โรคขาดวิตามินอีในเด็ก ไปจนถึงโรคที่มีการนำวิตามินอีไปใช้นอกข้อบ่งใช้หลัก เช่น โรคปวดปลายประสาทจากการติดเชื้องูสวัด และโรคอัลไซเมอร์
- เวลาที่ควรกิน
- เนื่องจากวิตามินอี เป็นวิตามินที่ละลายในไขมันได้ดี ดังนั้นควรกินวิตามินอีร่วมกับอาหารที่มีไขมันเล็กน้อย เช่น นม โยเกิร์ต อัลมอนด์ ถั่วต่าง ๆ อะโวคาโด
- ประโยชน์: เป็นหนึ่งในวิตามินที่ละลายในไขมันได้ดี ร่างกายจำเป็นต้องใช้วิตามินอีเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์
- วิตามินดี (Vitamin D)
- ประโยชน์
- ควบคุมภาวะสมดุลของเเร่ธาตุ แคลเซียม และฟอสเฟต ซึ่งมีผลต่อกระบวนการสร้างกระดูกให้แข็งแรง
- ลดภาวะการดื้อต่ออินซูลิน ทำให้ร่างกายสามารถใช้อินซูลินได้ดีขึ้น จึงลดอัตราการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้
- ลดอัตราการเกิดโรคปลอกประสาทอักเสบ (MS) เเม้โรคนี้จะพบน้อยในคนไทย แต่ก็พบได้ ลักษณะของโรคมักกำเริบ กลับเป็นซ้ำได้ วิตามินดีสามารถลดการกำเริบซ้ำของโรคปลอกประสาทอักเสบได้
- ปวดศีรษะไมเกรนที่สัมพันธ์กับรอบประจำเดือน
- วิตามินดีช่วยให้สมองหลั่งสารเซโรโทนินมากขึ้น ช่วยลดความเครียด และภาวะซึมเศร้าได้
- ลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และพังผืด
- มีการศึกษาพบว่า ระดับวิตามินดีที่ต่ำ สัมพันธ์กับโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง เช่น SLE ข้ออักเสบรูมาตอยด์ และโรคข้อสันหลังอักเสบยึดติด
- ช่วยป้องกัน และรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อมตามอายุ
- มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ปรับสมดุล และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถต้านทานโรคได้มากขึ้น
- ช่วยต้านโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ใหญ่
- เพิ่มประสิทธิภาพของการออกกำลังกาย และการเล่นกีฬา โดยเฉพาะการเล่นกีฬาที่มีความหนัก และต่อเนื่องเป็นเวลานาน เช่นวิ่งมาราธอน ไตรกีฬา
- เวลาที่ควรกิน
- ควรกินระหว่างมื้ออาหารเช้าหรือกลางวัน ไม่เกิน 30 นาที เนื่องจากเป็นวิตามินที่ละลายในไขมันได้ดีเช่นเดียวกัน
- ควรหลีกเลี่ยงช่วงการกินช่วงบ่าย เนื่องจากอาจจะไปรบกวนการนอนหลับได้
- ประโยชน์
- วิตามินเอ (Vitamin A)
- ประโยชน์
- ช่วยให้ตาสู้แสงได้ในเวลากลางวัน
- รักษาอาการโรคตาฟาง หรือตาบอดในเวลากลางคืน
- ช่วยไม่ให้เหงื่อออกง่าย ป้องกันเซลเยื่อบุต่าง ๆ ของร่างกายทำงานผิดปกติ ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตตามปกติ ไม่หยุดชะงัก
- ป้องกันผิวหนังแห้งหยาบ และเป็นแปลอักเสบ
- รักษาสิวได้ดี ลดการอักเสบของสิว
- เวลาที่ควรกิน
- ควรกินระหว่างมื้ออาหารเช้าหรือกลางวัน ไม่เกิน 30 นาที เนื่องจากเป็นวิตามินที่ละลายในไขมันได้ดีเช่นเดียวกัน
- ประโยชน์
- วิตามินเค (Vitamin K)
- ประโยชน์
- ช่วยป้องกันเลือดออกภายในและเลือดออกไม่หยุด
- ช่วยบรรเทาอาการประจำเดือนมามากกว่าปกติ
- ช่วยในกระบวนการสร้างลิ่มเลือด
- ช่วยป้องกันกระดูกเปราะบาง
- ประโยชน์
-
- ปริมาณและเวลาที่ควรกิน
- ขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันคือ 65 - 80 ไมโครกรัมต่อวัน วิตามินเคในรูปแบบของอาหารเสริมมีจำหน่ายทั่วไปในรูปแบบเม็ด โดยมีขนาดประมาณ 100 ไมโครกรัม ซึ่งจะผสมอยู่ในวิตามินรวมทั่ว ๆ ไป
- ควรกินระหว่างมื้ออาหารเช้าหรือกลางวัน ไม่เกิน 30 นาที เนื่องจากเป็นวิตามินที่ละลายในไขมันได้ดีเช่นเดียวกัน
- ปริมาณและเวลาที่ควรกิน
ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรทุกครั้งก่อนการรับประทาน โดยเฉพาะผู้มีโรคประจำตัว เพื่อความปลอดภัย เนื่องจากวิตามินและยารักษาโรคบางชนิดหากกินพร้อมกันหรือร่วมกันจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้ด้วย
ที่มา:
- ไม่ปรากฎชื่อผู้แต่ง.(2564).วิตามินต่าง ๆ ควรกินตอนไหน กินคู่กับอะไรให้ร่างกายดูดซึมได้มากที่สุด.สืบค้น 27 มิถุนายน 2565,
จาก https://health.kapook.com/view 230611.html
- ไม่ปรากฎชื่อผู้แต่ง.(2565).10 วิตามินซีกินตอนไหนดี ควรกินวันละเท่าไร กินทุกวันอันตรายไหม ?.สืบค้น 27 มิถุนายน 2565,
จาก https://health.kapook.com/view 238106.html
- ไม่ปรากฎชื่อผู้แต่ง.(2565).วิตามินซี กินตอนไหน ร่างกายได้ประโยชน์เต็ม ๆ.สืบค้น 27 มิถุนายน 2565,
จาก https://health.kapook.com/view110140.html
- เมดไทย.(2561).วิตามินเค (Vitamin K) ประโยชน์ของวิตามินเค 4 ข้อ !.สืบค้น 27 มิถุนายน 2565,
จาก https://medthai.com/%E 0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%84/
- สุพรีม ไอเลสิค.(2561).ประโยชน์และโทษ รู้ก่อนทานวิตามิน A!.สืบค้น 27 มิถุนายน 2565,
จาก http://www.supremeilasik.com/th/vitamins-a-benefits-and-harm/
- Wellness Center โรงพยาบาลสินแพทย์ รามอินทรา.(2565). Vitamin D : ดี และมีประโยชน์อย่างไร ?.สืบค้น 27 มิถุนายน 2565,
- รามาแชนแนล • ขับเคลื่อนสังคมไทยให้สุขภาพดี.(2561).วิตามินอี ดีต่อสุขภาพและความงาม.สืบค้น 27 มิถุนายน 2565,
- โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน.(2564).เรื่องจริงจาก 8 "วิตามิน B".สืบค้น 27 มิถุนายน 2565,