Forum

แบ่งปัน:
การแจ้งเตือน
ลบทั้งหมด

KINGDOM OF CONDOM

1 โพสต์
1 ผู้ใช้
0 Reactions
727 เข้าชม
IL Admin
(@il-admin)
Reputable Member Admin
เข้าร่วม: 7 ปี ที่ผ่านมา
กระทู้: 134
หัวข้อเริ่มต้น  

ในปีคริสต์ศักราช 1700 มีการกล่าวถึง Condom ว่ามีที่มาจากภาษาลาตินจากคำว่า Cundum แปลว่า ภาชนะที่รองรับ แต่มีบางความเชื่อที่กล่าวว่า Condom มาจากชื่อของหมอในสมัยพระเจ้า Charles ที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการพัฒนาถุงยางอนามัยโดยทำจากลำใส้ของสัตว์ แต่ยังมีราคาสูง จึงต้องมีการนำกลับมาใช้ใหม่ ทำให้ไม่ได้ลดความเสี่ยงของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ในปีคริสต์ศักราช 1800 Goodyear (ผู้ก่อตั้งบริษัทผลิตยางรถยนต์ Goodyear) และนาย Hancock ได้ค้นพบวิธีการ Rubber Vulcanization (ทำให้เกิดปฏิกิริยาร่างแห/กระบวนการที่ทำให้เกิดพันธะโดยเส้นสายโพลิเมอร์) ทำให้สามารถผลิตสินค้าต่าง ๆ จากยางธรรมชาติ รวมถึงการผลิตถุงยางอนามัยในราคาที่เร็วขึ้นและถูกลง

ในปีคริสต์ศักราช 1919 Frederick Killian ทดลองผลิตถุงยางอนามัยโดยวิธีจุ่มขึ้นรูปในรัฐ Ohio โดยถุงยางอนามัยแบบ latex แบบใหม่นี้มีการจัดจำหน่ายอย่างแพร่หลาย

          ในปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมันสามารถทำให้การผลิตถุงยางมีความบางเพิ่มขึ้น และมีหลายขนาด

ขนาดถุงยางอนามัย

มาตรฐาน ข้อกำหนดของถุงยางอนามัยตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ปี 2535 กำหนดประเภทของถุงยางอนามัยที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติเป็น 13 ประเภท ตามขนาดความกว้าง ได้แก่ 44, 45, 46, 47, 48, 49, 50, 51, 52, 53, 54, 55 และ 56 มิลลิเมตร โดยความกว้างวัดโดยการวางถุงยางที่คลี่แล้วให้แบนราบกับพื้น วัดจากขอบด้านหนึ่งไปสุดขอบด้านหนึ่ง ส่วนความยาวที่วัดจากปลายเปิดจนถึงปลายปิดที่ไม่รวมติ่งหรือกระเปาะ ต้องไม่น้อยกว่า 160 มิลลิเมตร โดยทั่วไปในประเทศไทยมีอยู่ 4 ขนาด คือ 49, 52, 54 และ 56 มิลลิเมตร

วิธีการใช้ถุงยางอนามัยอย่างง่าย

  • ตรวจวันหมดอายุ เมื่อถุงยางหมดอายุอาจจะแตกได้
  • ตรวจสอบบรรจุภัณฑ์ และดูมาตรฐานการรับรองของ (FDA, CE, ISO หรือ Kitemark) ซึ่งหมายความว่าได้รับการทดสอบและปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยแล้ว
  • เปิดบรรจุภัณฑ์ อย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ฉีก หรือทำอันตรายต่อถุงยางอนามัย โดยปกติจะมีลูกศรอยู่บนบรรจุภัณฑ์ เพื่อแนะนำคุณในทิศทางที่ควรเปิด หลีกเลี่ยงการใช้ฟันหรือกรรไกร ระมัดระวังเล็บมือและ เครื่องประดับ
  • อวัยวะเพศชายต้องได้รับการตั้งตรงก่อนใส่ถุงยางอนามัย ใส่ถุงยางอนามัยเสมอก่อนที่อวัยวะเพศจะแตะอวัยวะเพศหรือปากของชายหรือหญิง
  • วางถุงยางอนามัยไว้บนปลายด้านบนของอวัยวะเพศชาย หย่อนลง และบีบกระเปราะที่ปลายถุงยางอนามัยก่อนที่จะเริ่มม้วนลง โดยการทำเช่นนี้เป็นการบีบฟองอากาศ และให้แน่ใจว่ามีที่ว่างสำหรับน้ำอสุจิ

ม้วนถุงยางอนามัยลงไปที่ฐานของอวัยวะเพศชาย ถ้าถูกต้องก็จะสามารกลิ้งลงได้ง่าย หากคุณเริ่มต้นใช้งานไม่ถูกต้องหรือไม่แน่ใจให้ถอดออกแล้วลองอีกครั้ง หรือเปลี่ยนถุงยางอนามัยใหม่และทำตามขั้นตอนอีกครั้ง ดังภาพที่ 1 

ภาพที่ 1 วิธีการใช้ถุงยางอนามัยอย่างง่าย

 


ประโยชน์ถุงยางอนามัย

• ป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธุ์ ได้แก่ เอดส์ ซิฟิลิส เริม ไวรัสตับอักเสบ หนองไน เป็นต้น
• ช่วยลดความไวต่อความรู้สึกสัมผัสขณะร่วมเพศทำให้ร่วมเพศได้นานขึ้น และช่วยให้ฝ่ายหญิงมีโอกาสถึงจุดหลั่งพร้อมฝ่ายชายได้มากขึ้น
• ใช้เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ ไม้ให้เชื้ออสุจิเข้าผสมกับไข่ฝ่ายหญิง
• ช่วยรักษาความเป็นหมันในสตรีที่มีความต้านทานต่อเชื้อของสามี จากการให้ฝ่ายชายใช้ถุงยางไปสักระยะหนึ่งเพื่อไม่ให้ฝ่ายหญิงได้รับน้ำเชื้อ อสุจิสำหรับการลดการต้านทานเชื้ออสุจิในฝ่ายหญิง

ข้อดีการใช้ถุงยางอนามัย
• มีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ และการติดโรคทางเพศสัมพันธุ์ได้สูง
• มีความปลอดภัย ไม่มีผลกระทบต่ออวัยวะระบบสืบพันธุ์
• ไม่มีผลต่อการเจริญพันธุ์ทั้งฝ่ายชาย และฝ่ายหญิงในขณะใช้หรือเมื่อเลิกใช้
• หาซื้อได้ง่าย ใช้ง่าย สะดวก และราคาถูก

ประสิทธิภาพ

หากใช้อย่างถูกต้องตามวิธีแนะนำจะเกิดความผิดพลาดที่นำไปสู่การตั้งครรภ์ เพียง 3.5% แต่หากใช้ไม่ถูกต้องตามวิธีการจะเพิ่มความผิดพลาดที่นำไปสู่การตั้งครรภ์ถึง 20%

ประสิทธิภาพการป้องกันโรคติดต่อ
• โรคเอดส์ ป้องกันได้มากกว่า 90% แต่ไม่ถึง 100%
• ไวรัสตับอักเสบ บี ป้องกันได้มากกว่า 90% แต่ไม่ถึง 100%
• หูดหงอนไ่ก่ ป้องกันได้ประมาณ 10%
• หนองในเทียม ป้องกันได้ประมาณ 50-90%
• หนองในแท้ ป้องกันได้มากกว่า 90% แต่ไม่ถึง 100%
• พยาธิในช่องคลอด ป้องกันได้มากกว่า 90% แต่ไม่ถึง 100%
• ซิฟิลิส ป้องกันได้ประมาณ 50-90%
• โรคเริม ป้องกันได้ประมาณ 10-50%
• แผลริมอ่อน ป้องกันได้ประมาณ 10-50%

อาการข้างเคียง
การใช้ถุงยางอนามัยจะมีอาการข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนน้อยมาก แต่บางรายอาจพบภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น
• เกิดการระคายเคือง หากไม่มีสารหล่อลื่นหรือสารหล่อลื่นไม่เพียงพอ แต่แก้ไขได้ด้วยการใช้เยลลี่ทาภายนอกเพิ่ม ไม่ควรใช้วาสลีน
• การสวมใส่ถุงอาจทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ต่อยาง และสารหล่อลื่นในถุงยางได้ โดยเฉพาะยาชาที่อาจพบเป็นส่วนผสมในสารหล่อลื่น อาจทำให้ผิวหนังที่ปลายอวัยวะเป็นผื่นแดง นอกจากนั้น การใช้ถุงยางอนามัยที่มีส่วนผสมของยาชาบ่อย ๆ อาจทำให้ปลายประสาทของอวัยวะเพศ ชา และเสื่อมถอยได้เร็วขึ้น

 

 

ที่มา
https://www.facebook.com/toongyangthai/posts/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B2%EF%BF%BD/355347177878752/

http://www.condom.live/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2/

https://www.avert.org/sex-stis/safer-sex-hiv/condoms

 

 

เรื่องโดย พงษ์ผไท กิจรุ่งโรจนาพร สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้ ม.มหิดล


   
อ้างอิง
แบ่งปัน:
1,310,808 views since 16 August 2018