จุลสารนวัตกรรม ฉบับที่ 79 – ศึกษาปริทัศน์ เรื่อง ความปลอดภัยทางไซเบอร์ของนักเรียนไทย: ปัญหาที่ถูกละเลยในยุคดิจิทัล

Newsletters

ความปลอดภัยทางไซเบอร์ของนักเรียนไทย: ปัญหาที่ถูกละเลยในยุคดิจิทัล

เรื่อง : ดร.มนัสวี มนต์ปัญญาวัฒนา

 

        ในช่วงหลัง ๆ มานี้ ประเทศไทยได้เร่งขับเคลื่อนการเรียนรู้ทางดิจิทัลทั้งในและนอกห้องเรียนมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ปรากฏว่า ความปลอดภัยทางไซเบอร์ของผู้เรียนยังไม่ค่อยมีประสิทธิภาพประสิทธิผล มีปัญหาทั้งในเชิงทักษะ สื่อ และกลไกการคุ้มครองเด็กบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ซึ่งประเด็นเหล่านี้ได้ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่กับความเสี่ยงในระดับสูง ทั้งจากการที่จะถูกหลอกลวงทางออนไลน์และการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ที่อยู่ในระดับเป็นที่น่ากังวลเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น ความปลอดภัยทางไซเบอร์จึงมิใช่เป็นประเด็นเพียงเรื่องส่วนตัวของผู้เรียนเท่านั้น แต่เป็นเรื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านความไว้วางใจในระบบการศึกษาดิจิทัลโดยรวมนั่นเอง
        จากที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ได้ชี้ให้เห็นว่า การใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาควรถูกออกแบบให้เกิดความรับผิดชอบ ความปลอดภัย และเพื่อเป้าหมายแห่งการเรียนรู้ในผู้เรียนตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ กล่าวคือการใช้เทคโนโลยีไม่ควรเป็นเพียงการเพิ่มอุปกรณ์หรือแพลตฟอร์มเพื่อการศึกษาเท่านั้น แต่ควรเป็นการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลและภูมิคุ้มกันทางไซเบอร์ในผู้เรียนและครูอย่างเป็นระบบตั้งแต่ระดับโรงเรียนจนถึงระดับนโยบายชาติ ดังนั้น เพื่อให้เกิดองค์ความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับนักเรียนไทย ต่อไปนี้ ผู้เขียนจักได้นำเสนอบทความเกี่ยวกับการจัดการปัญหาความปลอดภัยทางไซเบอร์ในยุคดิจิทัลที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติหมวดต่าง ๆ ได้แก่ SDG 4 (คุณภาพการศึกษา) SDG 9 (โครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี) SDG 10 (ลดความเหลื่อมล้ำ) และ SDG 16 (สังคมสงบสุข ยุติธรรม และสถาบันที่เข้มแข็ง)มาให้ทราบกันต่อไป

ความเสี่ยงทางไซเบอร์ของนักเรียนไทย
        ในยุคดิจิทัลเช่นนี้ นักเรียนไทยต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางไซเบอร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ ทั้งในการกลั่นแกล้งทางออนไลน์ การหลอกลวง และการเข้าถึงสื่อที่ไม่เหมาะสม พร้อมกันนี้ ปัญหาเหล่านี้ก็ไม่ได้กระทบเพียงพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความเปราะบางของสุขภาวะ การเรียนรู้ และความปลอดภัยของเยาวชนไทยในระยะยาวด้วย ดังนั้น ในที่นี้ จึงขอนำเสนอถึงรายละเอียดเกี่ยวกับความเสี่ยงของนักเรียนไทยทั้ง 3 รูปแบบดังนี้
        1. การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ ได้แก่ จากข้อมูลการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ในปี พ.ศ. 2568 ได้ปรากฏข้อมูลว่า ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนมีจำนวนมากกว่า 55% ที่ในรายงานระบุว่าถูกกลั่นแกล้ง ถูกเยาะเย้ยทางออนไลน์ และไทยก็ติดอันดับต้น ๆ ของโลกในด้านความเสี่ยงทางไซเบอร์สำหรับเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นการส่งผลกระทบต่อสุขภาวะทางจิตใจ ความผูกพันต่อโรงเรียน และผลการเรียนรู้เป็นอย่างยิ่ง
        2. การหลอกลวงทางออนไลน์/อาชญากรรมไซเบอร์ ได้แก่ ในรายงานเชิงสังคมไทยได้ชี้ให้เห็นว่า คนไทยจำนวนมากตกเป็นเป้าหมายของกลโกงทางออนไลน์ ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงกันระหว่างผู้เรียนและครอบครัวผ่านแอป โซเชียล และเกม จนส่งผลให้เกิดความเสียหายทางการเงินและความเครียดกันทุกฝ่าย จนทำให้เกิดผลกระทบต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนได้
        3. สื่อผิดกฎหมายและการล่วงละเมิดเด็กทางออนไลน์ ได้แก่ ผลจากการทำงานของเครือข่ายคุ้มครองเด็กในไทยได้รายงานถึงการร้องเรียนและการนำเข้าซึ่งเนื้อหาที่เป็นภัยต่อเด็กและเยาวชนมีเป็นจำนวนมาก จึงเป็นการสะท้อนให้เห็นว่ากลไกการเฝ้าระวังความปลอดภัยทางไซเบอร์ยังต้องเพิ่มความเข้มแข็งในระดับโรงเรียนและชุมชนการเรียนรู้อีกหลายขั้นตอน
สาเหตุการละเลยความปลอดภัยทางไซเบอร์
        แม้การขับเคลื่อนด้านดิจิทัลเพื่อการศึกษาในประเทศไทยจะมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง แต่เรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์นั้นกลับถูกละเลยไปและยังไม่ได้รับการให้ความสำคัญในระบบการเรียนรู้จริง ๆ โดยสาเหตุสำคัญนั้นมาจากความไม่ต่อเนื่องของนโยบาย ความเหลื่อมล้ำทางทักษะดิจิทัล และระบบเฝ้าระวังที่ยังไม่เข้มแข็งในสถานศึกษา โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
        1. ความไม่ต่อเนื่องในการนำนโยบายลงสู่การปฏิบัติ ได้แก่ แม้ที่ผ่านมามีแนวทางสากลและกรอบในการออกแบบนโยบายดิจิทัลเพื่อการศึกษา แต่การบูรณาการเพื่อสร้างความปลอดภัยทางไซเบอร์ลงในหลักสูตรหรือในกิจกรรมของโรงเรียนและระบบวัดผลก็ยังไม่เป็นระบบในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและพื้นที่ห่างไกล
        2. ความไม่สม่ำเสมอในสมรรถนะทางดิจิทัลของครู ผู้ปกครอง และผู้เรียน ได้แก่ มีผลงานวิจัยและรายงานการศึกษาที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลได้ชี้ว่า ถึงแม้ที่ผ่านมาจะมีการลงทุนในด้านเครื่องมือ แต่การพัฒนาสมรรถนะและการกำกับดูแลการใช้สื่อก็ยังมีปัญหาและอุปสรรคจนส่งผลต่อการไร้คุณภาพของการเรียนรู้และยังไม่ช่วยลดความเสี่ยงได้จริง
        3. ระบบเฝ้าระวังและรายงานเหตุในสถานศึกษายังไม่ทั่วถึง ได้แก่ แม้จะมีคู่มือและแหล่งช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศ แต่โรงเรียนจำนวนมากก็ยังขาดขั้นตอนมาตรฐาน (SOP) สำหรับกรณีการคุกคาม/กลั่นแกล้งทางออนไลน์ เพื่อปกป้องเด็กอย่างทันท่วงที

แนวปฏิบัติที่สำคัญ 5 มิติ
        เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ดิจิทัลที่ปลอดภัยและยั่งยืน จึงจำเป็นที่จะต้องมีแนวปฏิบัติที่สำคัญ 5 มิติ ที่ครอบคลุมในทุกด้านของการศึกษา เป็นเครื่องมือในการปกป้องนักเรียนไทยจากความเสี่ยงทางไซเบอร์ พร้อมเสริมสร้างภูมิคุ้มกันดิจิทัลในระยะยาวดังนี้
        มิติที่ 1 หลักสูตรและการเรียนรู้ (Curriculum & Learning) กล่าวคือควรมีการบูรณาการ Digital Citizenship & Cyber Hygiene เป็น “ทักษะบังคับ” (core) ในชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ที่ประกอบไปด้วยการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว รหัสผ่านที่ดี การรู้เท่าทันข่าวลวง การรับมือการกลั่นแกล้งทางออนไลน์ และการขอความช่วยเหลืออย่างปลอดภัย พร้อมสื่อเพื่อการเรียนรู้ที่ได้มาตรฐาน
        มิติที่ 2 สมรรถนะครูและผู้นำสถานศึกษา (Teacher & Leadership Capacity) กล่าวคือการพัฒนา “ครูที่ปรึกษาดิจิทัล” (Digital Safeguarding Advisor) ในทุกโรงเรียน ผ่านการอบรมอย่างต่อเนื่องในเรื่องการป้องกันและการรับมือเหตุไซเบอร์ การคัดกรองสัญญาณเสี่ยง และการประสานเครือข่ายช่วยเหลือในท้องถิ่นหรือระดับชาติ
        มิติที่ 3 ระบบเฝ้าระวังและการรายงาน (Monitoring & Reporting) กล่าวคือการจัดทำ SOP เพื่อการออนไลน์ในโรงเรียน ได้แก่ ช่องทางรับแจ้ง ระดับความรุนแรง ขั้นตอนการช่วยเหลือ การคุ้มครอง การฟื้นฟู การประสานหน่วยงานและภาคีเครือข่าย เพื่อให้เกิดการตอบสนองอย่างรวดเร็วและปลอดภัยสำหรับเด็ก
        มิติที่ 4 พันธมิตรภาคีและระบบนิเวศ (Partnership & Ecosystem) หมายถึง ความร่วมมือของรัฐ เอกชนและชุมชนเทคโนโลยีในการยกระดับความตระหนักรู้เท่าทันภัยออนไลน์ เพื่อบล็อกโดเมนหลอกลวงและสื่อสารเผยแพร่ความรู้ให้ผู้ปกครองและนักเรียน
        มิติที่ 5 การติดตามประเมินผล (Evaluation & Accountability) กล่าวคือการใช้ตัวชี้วัดความปลอดภัยของนักเรียน(เช่น อัตราเหตุ cyberbullying ที่รายงาน ความสำเร็จในการรับมือเหตุการณ์ ระยะเวลาในการช่วยเหลือ พร้อมความสามารถในการหลีกเลี่ยงกลโกง และการเปิดเผยผลเชิงระบบตามหลักธรรมาภิบาลทางข้อมูล เพื่อปรับปรุงนโยบายอย่างต่อเนื่อง

การวิเคราะห์ความปลอดภัยทางไซเบอร์ในยุคดิจิทัลสำหรับนักเรียนไทย
        จากข้อมูลหลักฐานเกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์กับนักเรียนไทยได้ระบุถึงความถี่ของความเสี่ยง ในระดับที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้และกำลังขยายจากห้องเรียนสู่ระบบนิเวศชีวิตประจำวันของนักเรียน กล่าวคือการจัดทำนโยบายที่เน้นการเพิ่มอุปกรณ์หรือแพลตฟอร์ม โดยไม่มีมาตรการคุ้มครองและทักษะเพื่อการรับมืออย่างแท้จริง จึงไม่อาจลดความเสี่ยงในระดับที่รุนแรงให้ลดลงได้อย่างทันท่วงที โดยเฉพาะกับครอบครัวที่มีความเปราะบางทางเศรษฐกิจและการใช้ดิจิทัล ดังนั้น ความปลอดภัยทางไซเบอร์กับนักเรียนไทยจึงควรดำเนินการในหลายๆ ระดับ โดยในระดับโรงเรียนต้องดำเนินการเร่งออกแบบหลักสูตรความเป็นพลเมืองดิจิทัลเชิงปฏิบัติการ และเร่งสร้างบทบาทครูที่ปรึกษาด้านการคุ้มครองเด็กทางออนไลน์ ในขณะเดียวกันในระดับประเทศก็ต้องเร่งขับเคลื่อนการทำงานอย่างมีพันธมิตรข้ามหน่วยงานและข้ามภาคส่วน เพื่อการเชื่อมระบบการรายงานเหตุการณ์ ของเหตุการณ์ทางไซเบอร์ที่จะกระทบต่อผู้เรียน นอกจากนี้ การตั้งเป้าหมายและการกำกับติดตามที่เน้นผลลัพธ์ในผู้เรียนจะทำให้นโยบายความปลอดภัยทางไซเบอร์ดำเนินไปอย่างมีเป้าหมายเพื่อสร้างคุณภาพแห่งการเรียนรู้ ประการสุดท้าย การยกระดับความปลอดภัยต้องมองผ่านมิติความยุติธรรมทางดิจิทัล เพราะเหตุการณ์ทางไซเบอร์นั้นอาจกระทบความไม่เท่ากันในนักเรียนที่มีความแตกต่างทางภูมิภาคและฐานะได้ ฉะนั้น การออกแบบมาตรการช่วยเหลือที่เข้าถึงได้ง่ายและการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและชุมชนย่อมเป็นหัวใจสำหรับการปกป้องเด็กไทยให้ปลอดภัยและเติบโตในโลกดิจิทัลอย่างมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์เสมอเหมือนกันในทุกพื้นที่
        จากที่กล่าวมาทั้งหมด ทำให้เข้าใจได้ว่า ความปลอดภัยทางไซเบอร์ของนักเรียนไทยนี้เป็นโจทย์เร่งด่วนที่ต้องยกระดับในระบบการศึกษาทั้งองคาพยพ เพราะความปลอดภัยในโลกออนไลน์นี้มีความเชื่อมโยงอย่างแนบแน่นกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนหลายด้าน ทั้งยังส่งผลระยะยาวต่อคุณภาพการศึกษา (SDG 4) ความแข็งแกร่งของโครงสร้างพื้นฐานการศึกษาและนวัตกรรม (SDG 9) ความเท่าเทียมในการเข้าถึงโอกาสทางดิจิทัล (SDG 10) และการสร้างสังคมที่ปลอดภัยเป็นธรรมสำหรับเด็ก (SDG 16) ดังนั้น การลงทุนเชิงนโยบายควรมุ่งไปที่การสร้างเสริมทักษะ สร้างครู สร้างระบบรายงานสร้างพันธมิตร และสร้างตัวชี้วัดตามแนวปฏิบัติที่สำคัญ 5 มิติ ดังกล่าวข้างต้น ควบคู่ไปกับการสื่อสารสาธารณะอย่างต่อเนื่อง เพราะเมื่อโรงเรียนได้สร้างสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่ปลอดภัยและไว้ใจได้แล้ว นักเรียนย่อมจะมีพื้นที่เรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ ลดความเสี่ยง และพัฒนาเป็นพลเมืองดิจิทัลที่มีระเบียบวินัย รู้รับผิดชอบ และรู้จักเคารพสิทธิผู้อื่นด้วย

บรรณานุกรม

Bank of Thailand. (2025). BOT and AIS join forces to strengthen cybersecurity awareness. https://www.bot.or.th/en/news-and-media/news/news-20250404.html.

CyberPeace Institute (2022). Cyber Peace and the UN SDGs. https://cyberpeaceinstitute.org/news/cyber-peace-and-the-un-sdgs/.

OECD. (2023). OECD Digital Education Outlook 2023: Towards an effective digital education ecosystem. https://www.oecd.org/en/publications/oecd-digital-education-outlook-2023_c74f03de-en.html.

The Nation Thailand. (2025). Millions of Thais fall victim to online scams. https://www.nationthailand.com/news/general/40046127.

Thailandplus Online (2568). เด็ก-เยาวชนทั่วโลก 70% เผชิญความเสี่ยงไซเบอร์… เด็กไทย 41% ถูกกลั่นแกล้งออนไลน์. https://www.thailandplus.tv/archives/939676.

UNICEF Thailand. (2025). Online Safety Manual for Children and Young People 2025. https://www.unicef.org/thailand/reports/online-safety-manual-children-and-young-people-2025.

UNESCO Institute of Statistics. (2018). SDG 4 Data: Indicator 4.4.1 on Skills for a Digital World. https://uis.unesco.org/en/blog/meet-sdg-4-data-indicator-4-4-1-skills-digital-world.

World Bank/OECD/UNESCO. Children in the digital environment. https://www.oecd.org/en/topics/children-in-the-digital-environment.html.

สารบัญ

เนื้อหานี้มีประโยชน์กับท่านหรือไม่ โปรดให้คะแนน

น้อยที่สุดน้อยมากมากที่สุด (2 votes, average: 4.00 out of 4)
Loading…
Views : 3 views