ผลกระทบของการใช้ ChatGPT ต่อการเรียนรู้และข้อเสนอแนะในการใช้งาน
เรื่อง : อาจารย์ ดร.ปรเมษฐ์ ธาราศักดิ์
เป็นที่ประจักษ์ว่า ChatGPT และเครี่องมือ Generative AI ต่างๆได้ช่วยให้การทำงานของผู้คนในหลากหลายสาขาอาชีพ ที่ใช้ทักษะความรู้และความคิด เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ ทีมจากหน่วยงานวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์ของบริษัท OpenAI ร่วมกับศาสตราจารย์ David Deming จากมหาวิทยาลัย Harvard ประเทศสหรัฐอเมริกา ทำการวิเคราะห์ตัวอย่างบทสนทนาบน ChatGPT จำนวน 1.5 ล้านบทสนทนา ตั้งแต่การเปิดตัวของ ChatGPT เมื่อสามปีที่แล้ว ซึ่งล่าสุดมีจำนวนผู้ใช้งานเป็นประจำอยู่ที่ประมาณ 700 ล้านคนต่อสัปดาห์ [1] จากการศึกษาพบว่า
- ช่องว่างระหว่างเพศของผู้ใช้งาน เมื่อเดือนมกราคม 2024 ผู้ใช้งานเพศหญิงมีจำนวน 37% พอมาถึงเดือนกรกฎาคม 2025 ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็น 52% ซึ่งใกล้เคียงกับตัวเลขจากเปอร์เซ็นต์ของประชากรโลกที่เป็นผู้ใหญ่
- ประเทศที่มีรายได้ต่ำถึงปานกลางมีการยอมรับการใช้งานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยประเทศที่มีรายได้ต่ำสุดมีการเติบโตการใช้งานเป็น 4 เท่า เมื่อเทียบกับประเทศที่มีรายได้สูงสุด
- สามในสี่ของบทสนทนาเป็นเรื่องของ การขอคำแนะนำในเชิงปฏิบัติ การค้นหาข้อมูลข่าวสาร และการเขียน โดยที่เรื่องการเขียนเป็นหัวข้อหลักที่อยู่บนบทสนทนา ในขณะที่การเขียนโปรแกรม และการแสดงออกเรื่องอื่นๆ เช่น เรื่องที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความรู้สึก ยังเป็นหัวข้อรองลงมา
- ChatGPT สามารถสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม ช่วยในเรื่องการตัดสินใจและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้ความรู้ขั้นสูง
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการเรียนรู้ มีผลการศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Institute of Technology) ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งในที่นี้จะยกมากล่าวถึงสองเรื่องที่แสดงถึงผลกระทบในเชิงลบและวิธีการจัดการกับปัญหาการเรียนรู้
1. การทดลองให้นักศึกษาสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science) ระดับปริญญาตรี เขียนโปรแกรมภาษา Fortran ซึ่งเป็นภาษาที่นักศึกษาไม่รู้จักมาก่อน [2] (Fortran เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่เกิดขึ้นมากว่า 60 ปีที่แล้ว ใช้ในการคำนวณด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม) โดยศาสตราจารย์ Eric Klopfer แบ่งกลุ่มนักศึกษาออกเป็นสามกลุ่ม โดยให้โจทย์ที่ต้องใช้การเขียนโปรแกรมในการแก้ปัญหา นักศึกษากลุ่มแรกอนุญาตให้ใช้ ChatGPT นักศึกษากลุ่มที่สองอนุญาตให้ใช้ LLaMA (LLaMA เป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ของค่าย Meta ซึ่งเขียนโปรแกรมได้ แต่จะมี bug เยอะกว่า ChatGPT ซึ่งต้องอาศัยผู้ใช้งานในการแก้ไขปรับปรุง) นักศึกษากลุ่มที่สามให้ใช้ Google search ได้อย่างเดียว การทดลองครั้งแรกนี้ต้องการทราบว่า กลุ่มไหนสามารถแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วที่สุด พบว่ากลุ่มแรกทำได้เร็วที่สุด ตามมาด้วยกลุ่มที่สองและกลุ่มที่สาม (รูปที่ 1) การที่กลุ่มที่สามทำได้ช้าที่สุดพบว่า นักศึกษาต้องทำการวิเคราะห์ปัญหาด้วยตัวเองและแยกปัญหาออกมาเป็นส่วนย่อยๆเพื่อแก้แต่ละส่วน

การทดลองดำเนินต่อไปในครั้งที่สอง โดยให้นักศึกษาทั้งสามกลุ่มแก้โจทย์เดิมที่ได้ให้ไว้ในครั้งแรก แต่คราวนี้ให้ทุกกลุ่มแก้ปัญหาจากสิ่งที่ได้เรียนรู้มาและจำได้ด้วยตัวเอง ผลปรากฏว่ากลุ่มที่หนึ่งไม่มีใครผ่านการทดสอบ (นักศึกษาจำอะไรไม่ได้เลย) กลุ่มที่สองผ่านประมาณครึ่งหนึ่ง และกลุ่มที่สามผ่านการทดสอบทุกคน (รูปที่ 2)

ศาสตราจารย์ Eric Klopfer ได้ให้ข้อสรุปว่า การที่นักศึกษาทำงานหนักและต่อสู้กับปัญหาที่พบระหว่างทาง เป็นสิ่งที่สำคัญที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ อีกทั้งทักษะในการวิเคราะห์และแตกปัญหาเป็นส่วนย่อยๆเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งยวดในการเรียนรู้
2. การทดลองให้กลุ่มทดลองอายุ 18-39 ปีจากพื้นที่เขตเมือง Boston ให้มาเขียน essay ที่อยู่ในการสอบ SAT (SAT เป็นมาตรฐานข้อสอบสำหรับเข้ามหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา essay เป็นส่วนหนึ่งแต่ไม่ได้คิดรวมอยู่ในคะแนนสอบ) [3] โดยทีมของ Nataliya Kosmyna ซึ่งเป็นนักวิจัยที่ Media Lab ได้แบ่งกลุ่มทดลองเป็นสามกลุ่ม โดยกลุ่มแรกให้ใช้ ChatGPT กลุ่มที่สองใช้ Google search และกลุ่มที่สามไม่ให้ใช้เครื่องมือช่วยใดๆ ในการทดลองมีการใช้เครี่องวัดสัญญาณไฟฟ้าในเซลล์สมอง (EEG) ในระหว่างที่กลุ่มทดลองทำการทดสอบ โดยการศึกษาใช้ระยะเวลาหลายเดือน และให้กลุ่มทดลองเขียนหลาย essay ผลการวัดสัญญาณ EEG พบว่ากลุ่มที่ใช้ ChatGPT มีกิจกรรมไฟฟ้าในสมองต่ำที่สุด (รูปที่ 3) และถ้าเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่นพบว่าในกลุ่มนี้ สมองทำงานน้อยกว่า คุณภาพการเขียนต่ำกว่า และพฤติกรรมของกลุ่มมีแนวโน้มในเชิงลบ ซึ่งหลังจากเวลาผ่านไปกลุ่มนี้จะขี้เกียจและส่วนใหญ่ก็จะคัดลอก essay จาก ChatGPT มาตอบ ในกลุ่มที่ใช้ Google search สมองมีการทำงานและตื่นตัว มีความพึงพอใจต่อผลงานของตน ในกลุ่มที่เขียน essay ด้วยตัวเอง พบการเชื่อมต่อของระบบประสาทสมองมากที่สุด โดยเฉพาะในย่านของ alpha, theta และ delta ซึ่งเป็นย่านที่มีความเกี่ยวเนื่องกับความคิดสร้างสรรค์ ความจำและการประมวลผลในเรื่องความหมาย นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มทดลองนี้ มีความอยากรู้อยากเห็น และแสดงความพึงพอใจในผลงานของตนเอง

การทดลองดำเนินต่อไปในขั้นที่สอง โดยให้กลุ่มทดลองทำการเลือกเขียน essay ใหม่จากที่เขียนไว้ในครั้งแรก โดยในครั้งนี้กลุ่มที่เคยใช้ ChatGPT จะต้องเขียนด้วยตนเอง ในขณะนี้กลุ่มที่เคยเขียนด้วยตนเองจะอนุญาตให้ใช้ ChatGPT ผลการทดลองพบว่ากลุ่มที่เคยใช้ ChatGPT มีสัญญาณไฟฟ้าในสมองย่าน alpha และ delta ต่ำ ซึ่งแสดงไม่เห็นว่าสมองไม่ได้บันทึกประสบการณ์หรือการเรียนรู้ในระหว่างที่ใช้ ChatGPT ในกลุ่มที่เคยเขียนด้วยตนเองและมาใช้ ChatGPT พบว่ามีการตื่นตัวของสัญญาณไฟฟ้าในสมองทุกย่าน และสามารถเขียน essay ได้ดี (รูปที่ 4)

คณะผู้วิจัยจึงได้ข้อสรุปว่า หากมีการใช้ ChatGPT อย่างถูกวิธีจะส่งผลดีต่อการเรียนรู้ มิฉะนั้นอาจจะเป็นโทษต่อนักเรียน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กที่สมองกำลังพัฒนา
ในทัศนะของผู้เขียนหลังจากที่ได้อ่านทั้งสองบทความ และจากประสบการณ์ของตนเองที่ใช้ ChatGPT ที่ผ่านมา จึงขอเสนอให้ใช้ ChatGPT ในลักษณะของการเป็นผู้ช่วย AI (AI-Assistant) หลังจากที่เราได้ทำงานด้วยตนเองก่อน และใช้ AI ปรับปรุงงานที่เราทำขึ้น จะทำให้ผลงานดีขึ้นในขณะที่จะเกิดการเรียนรู้พัฒนาตนเองไปด้วยในระยะยาว รวมถึงงานที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ เช่น ค้นหาไอเดียใหม่ๆ หรือวิธีการใหม่ๆ เราน่าจะต้องคิดเองก่อน แล้วค่อยไปตรวจสอบและเปรียบเทียบกับผลลัพธ์จาก AI
เอกสารอ้างอิง
[1] OpenAI. (2025, September 15). How people are using ChatGPT. OpenAI. https://openai.com/index/how-people-are-using-chatgpt/
[2] Shein, E. (2023, March 6). The impact of AI on computer science education. Communications of the ACM. https://cacm.acm.org/news/the-impact-of-ai-on-computer-science-education/
[3] Chow, A. R. (2023, February 23). ChatGPT may be eroding critical thinking skills, according to a new MIT study. TIME. https://time.com/7295195/ai-chatgpt-google-learning-school/
- หน้าแรก
- EDITOR’S NOTE
- ศึกษาปริทัศน์ : ความปลอดภัยทางไซเบอร์ของนักเรียนไทย: ปัญหาที่ถูกละเลยในยุคดิจิทัล
- นวัตกรรมจากสถาบัน : การเรียนรู้แบบอิงประสบการณ์ภายใต้กรอบแนวคิดความรู้ในเนื้อหาผนวกวิธีสอนและเทคโนโลยี: ความท้าทายในการสอนคณิตศาสตร์ในยุคโควิด-19
- นวัตกรรมจากสถาบัน : การจัดการเรียนรู้แบบสะตีมภายใต้กรอบแนวคิดความรู้ในเนื้อหาผนวกวิธีสอนและเทคโนโลยีเพื่อจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ปริมาตรและพื้นที่ผิว
- สาระน่ารู้ : ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการวิจัยสมัยใหม่และแนวโน้มในปี 2025
- สาระน่ารู้ : “AI” แย่งงานมนุษย์ได้จริงหรือ ?
- สาระน่ารู้ : ผลกระทบของการใช้ ChatGPT ต่อการเรียนรู้และข้อเสนอแนะในการใช้งาน
- สาระน่ารู้ : การจัดกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับสารระเหย (Organizing educational activities on volatile substances)
เนื้อหานี้มีประโยชน์กับท่านหรือไม่ โปรดให้คะแนน



(1 votes, average: 4.00 out of 4)