“AI” แย่งงานมนุษย์ได้จริงหรือ ?
เรื่อง : ดร.มนัสวี มนต์ปัญญาวัฒนา

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดแรงงานทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการที่หุ่นยนต์สามารถตอบคำถามแทนพนักงาน call center และระบบ AI ช่วยตรวจโรคได้อย่างแม่นยำใกล้เคียงแพทย์ หรือแม้แต่การที่เครื่องมือสร้างภาพและเขียนบทความอัตโนมัติ ฉะนั้น ศักยภาพของ AI ที่สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และไม่เหนื่อยล้า ทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า “งานของฉันที่ทำอยู่จะยังปลอดภัยอยู่ไหม?” นักเรียนหรือนักศึกษาก็หวั่นใจว่าเรียนไปแล้วจะมีงานรองรับหรือไม่ พร้อมกันนี้ แรงงานในตลาดก็กังวลว่าเทคโนโลยีจะเข้ามาแทนที่ตนเองได้ในไม่ช้านี้
จากที่กล่าวมาข้างต้น ได้ทำให้เกิดมุมมองว่า AI คือภัยคุกคามของตลาดแรงงานแน่นอน แต่ก็มีอีกด้านที่เชื่อว่า AI ไม่ได้มาเพื่อ “แย่งงาน” หากแต่มาเพื่อ “ช่วยงาน” และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับมนุษย์ได้อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้น จึงมีคำถามว่า AI จะเป็นผู้ร้ายที่มาแย่งงานเราจริงหรือ? หรือแท้จริงแล้ว มันกำลังกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้นกว่าเดิม? ดังข้อมูลจาก World Economic Forum (2020, The future of jobs report 2020, https://www.weforum.org/publications/the-future-of-jobs-report-2020/) ที่ระบุว่า แม้ AI และระบบอัตโนมัติอาจทำให้บางตำแหน่งงานหายไป แต่ในขณะเดียวกันก็จะก่อให้เกิดงานใหม่ขึ้นมาอีกหลายล้านตำแหน่งเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ การวิเคราะห์เชิงลึก และการสื่อสารทางอารมณ์ ซึ่งเป็นทักษะเฉพาะของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น AI สามารถช่วยสรุปรายงานการเงินอย่างรวดเร็ว คัดกรองใบสมัครงาน หรือให้คำแนะนำการตลาดแบบเรียลไทม์ แต่การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ การสร้างสัมพันธ์กับลูกค้าหรือการให้คำปรึกษาเชิงจิตวิทยายังคงต้องอาศัยมนุษย์เป็นหลัก ดังนั้น หลายองค์กรจึงเริ่มมอง AI เป็น “ผู้ช่วย” มากกว่าจะมองเป็น “ศัตรู” คือใช้ AI ในการตอบอีเมลเบื้องต้น จึงทำให้พนักงานมีเวลาจัดการงานสำคัญมากขึ้น หรือการใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เพื่อให้ทีมขายสามารถปรับกลยุทธ์ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ดังผลการศึกษาของ McKinsey & Company (2022, The state of AI in 2022—and a half decade in review, https://www.mckinsey.com/capabilities/quantumblack/our-insights/the-state-of-ai-in-2022-and-a-half-decade-in-review) ที่ชี้ว่า องค์กรที่ผสาน AI เข้ากับการทำงานของพนักงานอย่างมีแผนและมีเป้าหมายที่ชัดเจน มักจะมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 20-30% ภายในเวลาไม่ถึงสองปี
สรุปแล้ว AI จึงไม่ใช่ผู้ร้ายที่จะมาแย่งงานของมนุษย์ได้ แต่มันจะเป็นพลังใหม่ที่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานไปอย่างสิ้นเชิง หากเราใช้ AI อย่างเข้าใจและชาญฉลาด มันก็จะกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เสริมศักยภาพ และเปิดโอกาสใหม่ๆ ในโลกของการทำงานได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้น “AI จะไม่เข้ามาแทนที่มนุษย์ได้อย่างที่มนุษย์เป็น แต่มนุษย์ที่ใช้ AI เป็นต่างหากที่จะมาเข้ามาแทนที่มนุษย์ที่ไม่ใช้ AI”
- หน้าแรก
- EDITOR’S NOTE
- ศึกษาปริทัศน์ : ความปลอดภัยทางไซเบอร์ของนักเรียนไทย: ปัญหาที่ถูกละเลยในยุคดิจิทัล
- นวัตกรรมจากสถาบัน : การเรียนรู้แบบอิงประสบการณ์ภายใต้กรอบแนวคิดความรู้ในเนื้อหาผนวกวิธีสอนและเทคโนโลยี: ความท้าทายในการสอนคณิตศาสตร์ในยุคโควิด-19
- นวัตกรรมจากสถาบัน : การจัดการเรียนรู้แบบสะตีมภายใต้กรอบแนวคิดความรู้ในเนื้อหาผนวกวิธีสอนและเทคโนโลยีเพื่อจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ปริมาตรและพื้นที่ผิว
- สาระน่ารู้ : ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการวิจัยสมัยใหม่และแนวโน้มในปี 2025
- สาระน่ารู้ : “AI” แย่งงานมนุษย์ได้จริงหรือ ?
- สาระน่ารู้ : ผลกระทบของการใช้ ChatGPT ต่อการเรียนรู้และข้อเสนอแนะในการใช้งาน
- สาระน่ารู้ : การจัดกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับสารระเหย (Organizing educational activities on volatile substances)
เนื้อหานี้มีประโยชน์กับท่านหรือไม่ โปรดให้คะแนน



(2 votes, average: 4.00 out of 4)